xs
xsm
sm
md
lg

ธอส.หั่นเป้าสินเชื่อปล่อยใหม่เหลือ1.7แสนล้านบาท จากพิษโควิด

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ธอส. ปรับลดเป้าสินเชื่อปล่อยใหม่ เหลือ 1.7 แสนล้านบาท จากเดิม 2.1 แสนล้านบาท จากผลกระทบโควิด โดยครึ่งปีแรก ปล่อยไปแล้ว 100,981 ล้านบาท พร้อมตั้งสำรองสูงขึ้นเพื่อรองรับNPLsหลังสิ้นสุดมาตรการรัฐ มั่นใจการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ไม่กระทบแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานผลดำเนินงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.–มิ.ย.63) ปล่อยสินเชื่อใหม่ 100,981 ล้านบาท จำนวน 62,116 บัญชี เพิ่มขึ้น 12.99 % จากช่วงเดียวกันของปี 2562 คิดเป็น 50% ของเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อใหม่ทั้งปี 2563 ที่ 210,000 ล้านบาท

โดยได้ปล่อยสินเชื่อใหม่ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางแล้ว40,504 ราย และมียอดสินเชื่อคงค้าง 1,256,305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.89% ,มีสินทรัพย์รวม 1,300,881 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.52% ,เงินฝากรวม 1,060,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.76% ,หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) 56,827 ล้านบาท คิดเป็น 4.52% ของยอดสินเชื่อรวม คาดว่า ทั้งปี 63 หนี้เสีย จะอยู่ที่ไม่เกิน 4.75%

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. ยอมรับว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ไทย ยังเผชิญปัญหาจากโควิด-19 ต่อเนื่อง ธอส.จึงปรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อปล่อยใหม่ จากเดิมตั้งไว้ที่ 210,000 ล้านบาท ลดลงเหลือ 170,000 ล้านบาท ,ปรับกำไรสุทธิลดลงจาก 13,177 ล้านบาท เหลือ 8,227 ล้านบาท เพื่อใช้ในการตั้งสำรองที่สูงขึ้นแทน นการรองรับสถานการณ์หนี้เสียที่อาจเพิ่มมากขึ้น หลังจากสิ้นสุดระยะเวลามาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิดของธนาคาร ที่จะครบกำหนดในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่พักชำระเงินต้นและพักชำระดอกเบี้ย ซึ่งในเดือนสิงหาคม หรือก่อนสิ้นสุดระยะเวลาของมาตรการ 30 วัน เจ้าหน้าที่ธนาคาร จะทยอยติดต่อลูกค้าเพื่อนำข้อมูลมาใช้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต และหาแนวทางช่วยเหลือให้ลูกค้ากลับมามีสถานะบัญชีปกติให้มากที่สุด

การตั้งสำรองเพิ่มขึ้น ของ ธอส. แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ การตั้งสำรองตามเกณฑ์ปกติตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 500 ล้านบาท ,ตั้งสำรองเพื่อความมั่นค ง และสำรองตาม 8 มาตรการพักหนี้ โดยมีภาระตั้งสำรองเพิ่มอีก 2,500 ล้านบาท

นายฉัตรชัย กล่าวว่า ภายในสิ้นเดือน ก.ค.นี้ จะหารือร่วมกับธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งเป็น 3 แบงก์ที่มีลูกค้าในมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐอยู่จำนวนมาก จึงจะหารือร่วมกัน ในส่วนของฐานลูกค้าของทั้ง 3 แบงก์ที่ไม่เหมือนกัน เช่น ธ.ก.ส. จะเป็นลูกค้ากลุ่มเกษตรกร, ธนาคารออมสินจะเป็นกลุ่มค้าขาย หรือประชาชนฐานราก ส่วน ธอส.เป็นกลุ่มบ้านต่างๆ โดยจะประเมินว่า มาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่จะทยอยครบตามกำหนดนั้น จะสามารถสนับสนุนเพิ่มเติมในส่วนของแบงก์รัฐได้อย่างไร ก่อนนำข้อสรุปทั้งหมด หารือร่วมกับ ธปท.

โดยในช่วงครึ่งปีหลัง ธอส.จะให้ความสำคัญกับการดูแลคุณภาพลูกหนี้ ในกลุ่มที่เข้ามาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 รวม4.9 แสนราย วงเงิน 4.8 แสนล้านบาท ซึ่งได้สั่งการให้สาขาลงพื้นที่ดูแลลูกค้าเป็นรายคน ดูว่ากลุ่มใด มีปัญหาอย่างไร เพื่อให้เห็นแนวโน้มว่า หลังครบกำหนดมาตรการพักหนี้แล้ว จะช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง และยืนยัน ธอส.ไม่มีนโยบายยึดบ้านลูกค้าที่ผ่อนชำระไม่ไหว โดยเฉพาะในกลุ่มที่เข้ามาตรการพักชำระหนี้ 4.8 แสนล้านบาท แต่หากมีปัญหา ให้เข้ามาเจรจากับธนาคาร

นายฉัตรชัย แสดงความเห็นเกี่ยวกับการลาออกของรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เชื่อว่า ไม่ส่งผลกระทบกับการดำเนินงาน และมาตรการทางการเงิน เพราะทุกอย่างยังคงเดินหน้าต่อไป ส่วนนโยบายใหม่ของทีมใหม่ ก็ไม่ได้สร้างความกังวลแต่อย่างใด เพราะมองว่า จะมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของธนาคารอยู่แล้ว ซึ่งหากรัฐบาลมีมาตรการอะไรออกมา ธนาคารก็พร้อมรองรับและดำเนินการตาม

กรรมการผู้จัดการ ธอส. ย้ำด้วยว่า ไม่มีนโยบาย ปรับลดจำนวนพนักงานและผู้ปฏิบัติงานของธนาคารซึ่งปัจจุบัน มีอยู่กว่า5,000 คน และไม่ลดสาขา ที่มีกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ เพราะจำนวนพนักงานและสาขามีน้อยอยู่แล้ว หากเทียบกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ






กำลังโหลดความคิดเห็น