นายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ BBLAM เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) จะจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 17 จากผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 หรือระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และกำไรสะสม ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.08841 บาท และจะจ่ายเงินลดทุนครั้งที่ 4 จากผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2-4 ปี 2566 หรือระหว่างวันที่ 1 เมษายน-31 ธันวาคม 2566 ในอัตรา 0.281 บาทต่อหน่วย โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อกำหนดสิทธิรับเงินปันผลและเงินลดทุนในวันที่ 7 มีนาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลและเงินลดทุนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 21 มีนาคม 2567
เมื่อนับรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุน จนถึงการประกาศจ่ายเงินครั้งล่าสุด SUPEREIF จ่ายเงินปันผลรวม 17 ครั้ง คิดเป็นเงิน 3.10065 บาทต่อหน่วย และจ่ายเงินลดทุนไป 4 ครั้ง คิดเป็นเงิน 0.501 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินปันผลและเงินลดทุนที่จ่ายออกไปทั้งสิ้น 3.60165 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ ในการพิจารณาจ่ายเงินปันผล กองทุนฯ ต้องกันสำรองเงินไว้บางส่วนจากรายได้จากการลงทุนสุทธิ เพื่อให้มีสภาพคล่องคงเหลือเพียงพอสำหรับการจ่ายชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยที่กำลังจะถึงกำหนดชำระ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการดำเนินงานตามปกติของกองทุนในอนาคตอันใกล้ก่อนที่จะได้รับรายได้สุทธิอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปีปฏิทิน 2566 เป็นต้นไป หากกองทุนฯ จะจ่ายเงินลดทุนสำหรับรอบผลการดำเนินงานระหว่างปีปฏิทิน กองทุนฯ จะรวบรวมเงินลดทุนดังกล่าวไปจ่ายพร้อมกับเงินจ่ายที่จะพิจารณาจากรอบผลการดำเนินงานสุดท้ายของปีปฏิทินนั้น ๆ โดยสำหรับรอบผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2566 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 กองทุนฯ มีสภาพคล่องคงเหลือหลังจากการจ่ายเงินปันผลและการกันสำรองต่างๆ ประมาณ 32.2 ล้านบาท หรือ 0.06260 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 กองทุนฯ มีสภาพคล่องคงเหลือหลังจากการจ่ายเงินปันผลและการกันสำรองต่างๆ ประมาณ 58.1 ล้านบาท หรือ 0.11284 บาทต่อหน่วย และสำหรับรอบผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 กองทุนฯ มีสภาพคล่องคงเหลือหลังจากการจ่ายเงินปันผลและการกันสำรองต่างๆ ประมาณ 54.8 ล้านบาท หรือ 0.10634 บาทต่อหน่วย
สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 ปี 2566 พบว่ามีรายได้รวมเท่ากับ 203.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการได้รับค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์นํ้าท่วมในปี 2563 ที่โครงการหันทราย และเพิ่มขึ้น 17.7% จากไตรมาสก่อน ส่วนรายได้จากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 156.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากรายได้รวมเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าใช้จ่ายรวมที่เพิ่มขึ้น และมีอัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิ 76.9% ลดลงจาก 77.1% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2566 พบว่ามีรายได้รวมเท่ากับ 818.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากปีก่อน โดยสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นเป็นเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวไว้แล้วในผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2566 ส่วนรายได้จากการลงทุนสุทธิในปี 2566 อยู่ที่ 632.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากปีก่อน สาเหตุจากรายได้รวมเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าใช้จ่ายรวมที่เพิ่มขึ้น และมีอัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิ 77.2% ลดลงจาก 79.0% ในปีก่อน
กองทุนรวม SUPEREIF ลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิจากการดำเนินโครงการกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินขนาดเล็กมากของบริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 19 โครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี สระบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ปราจีนบุรี สระแก้ว พิจิตร และเพชรบูรณ์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เสนอขายตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง (แล้วแต่กรณี) รวม 118 เมกะวัตต์
ขณะที่ระยะเวลาโอนสิทธิรายได้สุทธิ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2562 จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแต่ละโครงการ ซึ่งระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้าภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 21-22 ปี นับจากวันที่ 14 สิงหาคม 2562 โดยวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโครงการสุดท้ายจะสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2584