บลจ.ทิสโก้สุดปลื้มคว้ารางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยม ประเภทกองทุนหุ้นในประเทศ (Best Fund House Winner : Best Domestic Equity House) จากการประกาศผลรางวัล Morningstar Awards 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 พร้อมเปิดมุมมองหุ้นไทยไตรมาส 2 ชี้หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสื่อสารและโทรคมนาคม กลุ่มค้าปลีกเด่น
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan Deputy Managing Director of TISCOASSET) เปิดเผยว่า จากปรัชญาในการบริหารกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ ที่เน้นวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเชิงลึกเพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว โดยการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมกับสถานการณ์ บริหารจัดการกองทุนอย่างเป็นธรรมภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี ทำให้ล่าสุด บลจ.ทิสโก้ได้รับรางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยม ประเภทกองทุนหุ้นในประเทศ (Best Fund House Winner : Best Domestic Equity House) จากการประกาศผลรางวัล Morningstar Awards 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
ดังนั้น เพื่อรักษาคุณภาพของการบริหารจัดการกองทุน บลจ.ทิสโก้จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่องตามปรัชญา รวมถึงพัฒนาด้านการนำเครื่องมือชี้วัดต่างๆ และแบบจำลองด้านการลงทุน สำหรับส่งเสริมการทำงานให้ทีมผู้จัดการกองทุน ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานที่ยาวนาน เพื่อให้สามารถคัดเลือกตราสาร กำหนดกลยุทธ์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทันต่อสถานการณ์การลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังได้นำแนวทางการลงทุนเพื่อความยั่งยืนมาไว้ในทุกกระบวนการลงทุน โดยกำหนดปัจจัยในด้านความยั่งยืนในทุกองค์ประกอบ ด้วยการใช้ปัจจัย ESG เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกหลักทรัพย์เพื่อลงทุน การติดตามตราสารลงทุน รวมถึงการประเมินและปรับมุมมองการลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัย ESG อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนแบบยั่งยืนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาลงทุนของ บลจ.ทิสโก้มากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นการให้โอกาสในการเติบโตของธุรกิจแล้ว ยังเป็นการลดความเสี่ยงต่างๆ ของบริษัทที่เข้าลงทุนได้เป็นอย่างมากอีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อฉลองความสำเร็จของรางวัลที่ได้รับ บลจ.ทิสโก้จึงจัดโปรโมชันพิเศษ! ลงทุนกองทุนหุ้นไทยที่ร่วมรายการ ผ่านแอปพลิเคชัน TISCO My Funds หรือ eInvest ยอดเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปต่อคำสั่งซื้อ รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ ชนิดหน่วยลงทุน A (TSF-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 3-28 เมษายน 2566 (1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์)
สำหรับกองทุนรวมหุ้นไทยที่ร่วมรายการโปรโมชันข้างต้น ล้วนแต่เป็นกองทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ลูกค้า ได้แก่ กองทุน TSF-A มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี ที่ผ่านการคัดสรรจากผู้จัดการกองทุน โดยใช้นโยบายการลงทุนแบบเชิงรุก กองทุนเปิด ทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป (TISCOHD-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนหุ้นไทยที่จ่ายเงินปันผลต่อเนื่องซึ่งอยู่ในดัชนี SET HD 30 Total Return Index โดยการใช้นโยบายการลงทุนแบบเชิงรุก กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทย Well-being ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป (TISCOWB - A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET Well-being (SETWB)
กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ ชนิดหน่วยลงทุน A (TISCOMS-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหุ้นไทยที่มีมูลค่าตลาดไม่เกิน 80,000 ล้านบาท ใน SET และ/หรือ mai ใช้นโยบายการลงทุนแบบเชิงรุก และกองทุนเปิด ทิสโก้ ดิวิเดนด์ ซีเล็ค อิควิตี้ (TISCODS) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่่าเสมอ และมีแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลที่ดี รวมถึงมีปัจจัยพื้นฐานดี และมีความมั่นคง มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจ มีนโยบายจ่ายปันผล
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Supongvorn Mianpoka Head Of Asset Management - Investment) เปิดเผยว่า สำหรับมุมมองหุ้นไทยไตรมาส 2/2566 นั้น บลจ.ทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีแรงสนับสนุนหลักจากเศรษฐกิจในประเทศที่อยู่ในทิศทางเร่งตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมืองและเปิดประเทศ โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว และอีกหนึ่งจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย นั่นคือฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งทั้งในระดับบริษัทจดทะเบียนฯ ธนาคารพาณิชย์ และของประเทศ ที่มีหนี้สินในระดับต่ำ ทำให้สามารถจำกัดความเสี่ยงขาลงได้ในภาวะดอกเบี้ยระดับสูงและผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศต่างๆ
ภาพรวมโดยสรุปแล้ว บลจ.ทิสโก้ยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะความกังวลของตลาดในปัจจุบันทำให้กลยุทธ์การลงทุนจึงเป็นการเน้นลงทุนในบริษัทที่มีวงจรกระแสเงินสดที่แข็งแรง มีหนี้สินที่ต่ำโดยเปรียบเทียบกับฐานทุนและกระแสเงินสด มีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีและมีความสามารถในการต่อรองกับคู่ค้าโดยเฉพาะการส่งผ่านเงินเฟ้อไปยังราคาสินค้าและบริการ โดยให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาดในกลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสื่อสารและโทรคมนาคม กลุ่มค้าปลีก