กรุงเทพประกันภัยตั้งเป้ากำไรฟื้นเท่าก่อนโควิด ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมแตะ3หมื่นล้าน เชื่อปัจจัยบวกเพียบหนุนธุรกิจประกันวินาศภัย คาดขยายตัว 4.5-5% ระบุการลงทุนผันผวน รอจังหวะเข้าลงทุนเพิ่มช่วงกลางปี
นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า ปี 2566 นี้บริษัทจะกลับมีกำไรอยู่ในระดับเดียวกันก่อนช่องโควิด ซึ่งในปี2563บริษัทมีกำไรก่อนหักภาษีที่3,500ล้านบาทแบ่งเป็นกำไรจากการรับประกัน 1.4 พันล้านบาท และกำไรจากการลงทุนประมาณ 1.8 พันล้านบาท โดยคาดว่าแนวโน้มการรับประกันภัยในปีนี้จะสามารถเติบโตได้ดี ขณะที่การลงทุนยังคงมีความผันผวน ทั้งจากอัตรา เงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงปัญหาสถาบันการเงินในยุโรป แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะสามารถเข้าลงทุนได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป
"ก่อนหน้านี้หุ้นในเครือที่เราขายไปก็มีทยอยซื้อกลับมาบางแล้วอย่างBH BBL BLA ซึ่ง BHเราถือหุ้นมากกว่า 10% ขายได้ แต่ซื้อไม่ได้ โดยกลางปีนี้เรามองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปลง ทุนเพราะตอนนี้ตลาดยังผันผวนอยู่ ซึ่งปีนี้เตรียมเงินสดเอาไว้ 1,000 ล้านบาท และหุ้นธนาคารยังเป็นกลุ่มที่เราให้ความสนใจในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น นอกจากนี้ยังมีหุ้นขนาดกลางบางตัวซึ่งอยู่ในตลาดมานานเป็น20ปีก็น่าสนใจ เช่นบริษัทที่ทำธุรกิจหลอดไฟรถยนต์ กลุ่มอาหาร และ กลุ่มที่เน้นเรื่องผลตอบแทนเป็นหลัก เพราะเรามองการลงทุนระยะยาวเป็นหลัก”นายชัยกล่าว
ด้านนายอภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน์ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) (BKI) เปิดเผย
ในปี 2566 นี้ บริษัทตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโต 12.5% แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ประมาณ 13,096 ล้านบาท เติบโต 20% และ เบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์หรือ Non-Motor ประมาณ 16,904 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทเบี้ยประกันภัยรับรวมได้เกินเป้าหมายโดยเติบโต 8.8% หรือ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม 26,676.3 ล้านบาทและ มีรายได้สุทธิจากการลงทุน 6,254.6 ล้านบาท แต่ด้วยภาระผูกพันในการจ่ายเครมสินไหมทดแทนประกันภัยโควิด-19 ที่สิ้นสุดลงในช่วงไตรมาส 2 ส่งผลให้บริษัทยังมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 638.4 ล้านบาท
ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดประกันวินาศภัยไทย ในปี 2566 ว่า ภาพรวมธุรกิจจะได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า ภายหลังผ่ายวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และกิจกรรมต่างๆ ทั่วโลกกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ ซึ่งธุรกิจประกันวินาศภัยจะได้รับประโยชน์จากยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ใปนี้ที่คาดว่าจะเติบโตเป็นบวกต่อเนื่องเป็นปีที่สอง
ขณะที่การขยายตัวของประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว หลังจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 28 ล้านคน และ ชาวไทยที่เดินไปท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมถึงยังมีนโยบายจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในอัตรา 150-300 บาทต่อคน ซึ่งคาดว่าค่าธรรมเนียมส่วนหนึ่งจะนำมาเป็นเบี้ยประกันภัยสุขภาพของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้จากข้อมูลของสมาคมประกันวินาศภัยไทย คาดว่า ธุรกิจประกันภัยในปี 2566 นี้จะมีเบี้ยประกันภัยรับรวมขยายตัว 4.5-5%
“ท่ามกลางปัจจัยที่ท้าทาย เช่น กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการยกเลิกผ่อนปรนมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย และ ราคาบ้านอยู่อาศัยที่ปรับเพิ่มขึ้นจากต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อปริมาณเบี้ยประกันอัคคีภัย เช่นเดียวกับประกันภัยทางทะเล และ ขนส่ง ที่ได้รับผลกระทบจากการส่งของของประเทศที่ตัวลงตามสภาพของเศรษฐกิจโลก”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทเน้นการดำเนินงานด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างและความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับการบริการ ได้แก่ การพัฒนาแผนกันประกันภัยรถยนต์ 2+ Super Special ด้วยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้น 7,300 ล้านบาท แผนประกันรถยนต์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเห็นได้ชัดจากยอดจดทะเบียนในปี 2565 ที่ผ่านมาที่มีจำนวนกว่า 9,729 คัน เพิ่มขึ้น 402.8%
โดยในส่วนของบริษัทได้มีการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า มียอดสะสมทั้งงานใหม่และต่ออายุ ประมาณ 2,000 คัน คิดเป็นเบี้ยประกันภัยกว่า 100 ล้านบาท และคาดว่าในปีนี้จะมีเบี้ยประกันภัยรวมไม่ต่ำกว่า 120-140 ล้านบาท และมีแผนในการพัฒนาแบบประกันภัยที่ตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งล่าสุดเตรียมเสนอแผนประกันภัยสุขภาพ+จิตเวช โดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอขายได้ในช่วงกลางปีนี้
นอกจากนี้บริษัทมีแผนในการเพิ่มศักยภาพการบริการ ด้วยการยกระบดับการบริการ เช่น ยกระดับอู่ซ่อมในสัญญาที่มีมากกว่า 580 แห่ง ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ปรับลดระยะเวลาการจ่ายค่าซ่อมอู่ในสัญญาภายใน 3 วันทำการ พัฒนาปรับปรุงระบบ Web Partner สำหรับตัวแทนเพื่อขยายช่องทางการประกันภัยไปสู่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย พร้อมขยายธุรกิจกับคู่ค้ารายใหม่ ยกระดับคุณภาพด้านสินไหม อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าหมายเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยการมีเสถียรภาพและความแข็งแกร่งทางการเงินโดยคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล สังคม และสิ่งแวดล้อม