บลจ.เอ็กซ์สปริงคาดหุ้นไทยมีโอกาสแตะ 1,720 จุด เปิดกองทริกเกอร์หุ้นไทย 7% รับจังหวะหุ้นย่อตัว คาดครึ่งปีหลังหุ้นไทยคึกคัก รับกลุ่มท่องเที่ยวจากต่างชาติ-กลุ่มกำลังซื้อสูง
นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ XSpring AM (Mr. Yodsakorn Follett Chief Executive Officer, XSpring Asset Management Company Limited) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 XSpring AM ได้วางนโยบายในการขยายฐานลูกค้าผ่านการออกกองทุนใหม่เพื่อสร้างทางเลือกในการลงทุน โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในปีนี้คาดว่าจะออกกองทุนใหม่ไม่เกิน 6 กองทุน ซึ่งจะประกอบไปด้วยกองทุนหลากหลายประเภท โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศที่มีโอกาสเติบโตสูง รวมถึงกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนโดยตรงในหุ้นของภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ มองว่าจังหวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังมีความน่าสนใจอย่างมาก โดยภาพรวมน่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1,720 จุด ซึ่งจะใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเดิมที่ตลาดหุ้นเคยทำไว้เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำหรับนโยบายการลงทุนกองทุนส่วนบุคคล เอ็กซ์สปริง ทริกเกอร์ฟันด์ 6M นั้น จะลงทุนในหุ้นทั้งใน SET และ mai โดยเป็นกองทุนที่บริหารงานในรูปแบบเชิงรุก (Active Management)
บลจ.เอ็กซ์สปริงมองว่า สภาวะตลาดหุ้นไทยในครึ่งหลังของปี 2565 นั้นตลาดคาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ที่ 97.05 บาทต่อหุ้น และในปัจจุบันส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของตลาดหุ้นกับพันธบัตรรัฐบาล (Earning Yield Gap) หรือ EYG อยู่ที่ประมาณ 2.85% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 2.64% โดยตามประมาณการของ บลจ. คาดว่า SET Index น่าจะปรับตัวไปที่ระดับ 1,720 จุด ใกล้จุดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยจะมี Forward P/E ที่ 17.72 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ 19.12 เท่า อยู่เพียงเล็กน้อย เนื่องจากคาดว่าดัชนี SET Index จะไม่ซื้อขายสูงกว่าค่าเฉลี่ยดังกล่าว ซึ่งกดดันจากปัจจัยเงินเฟ้อสูง ซึ่งเมื่อเทียบกับ SET Index ที่ปรับตัวลงมาที่ระดับ 1,632.62 จุด ณ วันที่ 10 มิ.ย. 2565 นั้นถือว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจอยู่สูง โดยเฉพาะเมื่อผนวกกับเงินทุนไหลเข้า (Funds Flow) จากต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นจำนวน 142,017 ล้านบาท และเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากประเทศอินโดนีเซีย
ในแง่กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นไทยที่สภาวะตลาดในภาพรวมยังมีปัจจัยกดดันจากอัตราเงินเฟ้อถีบตัวสูงขึ้น และปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกอยู่นั้น การลงทุนจึงควรเป็นการเลือกลงทุนเป็นรายตัวหรือรายกลุ่มอุตสาหกรรมมากกว่า เช่น เลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีปัจจัยบวกที่เป็น systemic risk อยู่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากอัตราเงินเฟ้อ กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมไปถึงกลุ่มที่ได้รับปัจจัยเสริมจากการเปิดประเทศที่ส่งผลให้กำลังซื้อโดยรวมเพิ่มขึ้นมาทดแทนกำไรที่จะถูกกดดันจากต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับการเลือกลงทุนในรายบริษัทจะมีปัจจัยเฉพาะตัวของบริษัทซึ่งเป็น non-systemic risk เช่น การควบคุมค่าใช้จ่ายหรือการบริหารต้นทุนได้ดีเป็นพิเศษในสภาวะเงินเฟ้อ การมีโครงการใหม่ การขยายตลาดใหม่ หรือการมี s-curve ใหม่ของบริษัทที่จะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ และจะมีกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้ต้นทุนจะสูงขึ้นก็ตาม โดย บลจ.เอ็กซ์สปริง จำกัด เชื่อว่าการเลือกลงทุนในบริษัทที่เข้าข่ายตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้นมีแนวโน้มที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มในอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดได้
ทั้งนี้ XSpring AM ได้เตรียมเสนอขายกองทุนส่วนบุคคล เอ็กซ์สปริง ทริกเกอร์ฟันด์ 6M รุ่นที่ 001/2565 ซึ่งถือเป็นการเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ในรูปแบบของกองทุนส่วนบุคคลเป็นครั้งแรกของ บลจ.เอ็กซ์สปริง โดยเปิดเสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน-6 กรกฎาคม 2565 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 1 ล้านบาท และทวีคูณครั้งละ 1 ล้านบาท ในความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ตั้งเป้าหมายเลิกโครงการเมื่อราคาสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ถึงเป้าหมายที่ 10.76 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทน 7% ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 5 วันทำการ โดยภายในระยะเวลา 6 เดือน ผู้ลงทุนไม่สามารถเลิกสัญญาก่อนสิ้นสุดโครงการได้ ทั้งนี้ การกำหนดเป้าหมายดังกล่าวไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทนของกองทุน และเป้าหมายดังกล่าวเป็นเป้าหมายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง