ตลาดหุ้นทั่วโลก 2022 เป็นปีที่ท้าทายและผันผวนเป็นอย่างมาก ถึงแม้ปัจจัยจากโรคโควิด-19 จะบรรเทาลงจากการกระจายตัวของวัคซีนในหลายประเทศและการฉีดบูสเตอร์โดสอย่างครอบคลุม สามารถช่วยทุเลาอาการผู้ป่วยจนมีอัตราเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ต่ำ ได้กลายเป็นโรคประจำถิ่นไปแล้วในหลายๆ ประเทศและผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นได้เผชิญปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ ที่รุมเร้าตั้งแต่ต้นปี เช่น สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน การกลับมาระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศจีน และสภาวะเงินเฟ้อสูงเป็นประวัติการณ์ที่เป็นปัจจัยสำคัญให้ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (FED) เริ่มดำเนินนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยและลดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้สินทรัพย์เกิดความผันผวนเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นและราคาปรับตัวลงเกือบทุกประเภทสินทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้นที่มีลักษณะเติบโตสูง หรือ Growth stock ที่ให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนสูงมากในช่วงปีที่ผ่านมา กลับกลายเป็นกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวมากในปี 2022 ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่านักลงทุนส่วนใหญ่ได้หมุนเงินลงทุนออกจากหุ้นกลุ่ม Growth ไปเข้าสู่หุ้นกลุ่ม Value โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2022 หุ้นสองกลุ่มนี้มีผลตอบแทนที่แตกต่างกันถึงเกือบ 20% (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ 31 พ.ค. 65)
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้การลงทุนในหุ้นเหมือนกัน แต่ได้รับผลตอบแทนที่ต่างกัน เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ด้วยการใช้ Factor investing
Factor investing คืออะไร?
Factor investing เป็นการคัดเลือกหุ้นโดยใช้ข้อมูลจาก Factor ต่างๆ เช่น Value (หุ้นกลุ่มเน้นคุณค่า) Quality (หุ้นกลุ่มเน้นคุณภาพสูง) หรือ Momentum (หุ้นกลุ่มที่มีผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ผ่านมา) เป็นต้น ซึ่ง Factor แต่ละกลุ่มจะหมุนเวียนสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในช่วงวัฏจักรและสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันออกไป
Factor investing ใดเหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบันที่เป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น?
ตลาดยังคงมีความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ธนาคารกลางของหลายประเทศต่างเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เช่น FED ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ปี 2019 และยังมีแผนจะปรับขึ้นอีกในช่วงที่เหลือของปี ทำให้การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Value ที่มักมีราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง และหุ้นกลุ่ม Quality ที่มักมีธุรกิจที่มั่นคงและมีกำไรสม่ำเสมอ มีความน่าสนใจและมีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่นในช่วงเวลานี้ เนื่องจากมีลักษณะปัจจัยการลงทุนที่สามารถช่วยปกป้องความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อสูงได้
ทำไมการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Value และหุ้นกลุ่ม Quality ทั่วโลกจึงมีความน่าสนใจ
เหตุที่หุ้นกลุ่ม Value และหุ้นกลุ่ม Quality มีศักยภาพช่วยปกป้องความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อสูงได้ มาจากปัจจัยเฉพาะตัวของหุ้น 2 กลุ่มนี้ การคัดเลือกหุ้นเข้ากลุ่ม Value จะใช้ 3 ปัจจัยหลักในการพิจารณา คือ อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E ratio) อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV ratio ratio) และอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) ส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้มักมีมูลค่าถูก จ่ายเงินปันผล และมีระดับราคาที่น่าสนใจ (อ้างอิงข้อมูลจาก MSCI World Enhanced Value Index ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565)
ในส่วนของหุ้นกลุ่ม Quality จะใช้ 3 ปัจจัยหลัก คือ ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูง (ROE) ระดับหนี้ที่ต่ำ (Low leverage) และความผันผวนของกำไรที่ต่ำ (low earnings variability) ส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้มักมีการเติบโตของผลประกอบการอย่างมีเสถียรภาพ (อ้างอิงข้อมูลจากดัชนี MSCI World Sector Neutral Quality Index ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565)
นอกจากการเลือกหุ้นที่คาดว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนในสภาวะดังกล่าวแล้ว การกระจายการลงทุนไปทั่วโลกนับเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงเช่นเดียวกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยเฉพาะตัวของแต่ละประเทศ ซึ่งเราได้เห็นผลกระทบจากตัวอย่างล่าสุดที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรปแล้ว จากปัจจัยระหว่างประเทศและภูมิศาสตร์ของความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
การลงทุนในปี 2022 นับเป็นช่วงเวลาผันผวนและคาดการณ์ได้ยาก การลงทุนไปยังหุ้นทั่วโลกจะสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงแก่พอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนได้ ประกอบกับการลงทุนในหุ้น Value ที่มักมีราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง และหุ้น Quality ที่มีธุรกิจมั่นคงและมีกำไรสม่ำเสมอ น่าจะตอบโจทย์การลงทุนในสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นได้
----------------------------------------------------
โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด