นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า การเข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทมีเป้าหมายที่วางไว้ 5 ประการด้วยกัน ประกอบด้วย 1. การประสานความร่วมมือกันของบุคลากรในบริษัทให้เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งจากฝ่ายตัวแทน ฝ่ายบุคคล และฝ่ายเทคโนโลยี 2. ความเป็นผู้นำหรือที่หนึ่งในอุตสาหกรรมซึ่งรวมทุกด้านเข้าด้วยกันทั้งในส่วนของ กำไร สัดส่วนทางการตลาด และจำนวนลูกค้า 3. การตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าซึ่งเป็นการตอบโจทย์ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ที่พัฒนาให้ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด 4. การส่งเสริมภาพลักษณ์บริษัทแบบไทยเพื่อคนไทยในการดูแลเอาใจใส่และตอบแทนลูกค้า 5. การพัฒนาระบบดิจิทัลพื่อใช้งานได้เต็มรูปแบบ 100% เพื่อให้บริษัทเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของลูกค้า
“อันดับ 1 ของประเทศไทยมายาวนาน แต่เราจะไม่หยุดความสำเร็จไว้เพียงตรงนี้ เพราะต่อจากนี้ไปเอไอเอ ประเทศไทย ต้องเป็นหนึ่ง ยืนหนึ่ง และที่หนึ่งในทุกด้าน โดยการเป็นที่หนึ่งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อองค์กรและพนักงานของเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำให้ลูกค้าของเอไอเอกว่า 5.2 ล้านราย ตลอดจนคนในสังคมได้รับประโยชน์สูงสุด จากหลากหลายนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและการวางแผนทางการเงินในระยะยาวที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ตลอดจนตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น อันถือเป็นพันธกิจสำคัญที่เรายึดถือ โดยมีเอไอเอเป็นพาร์ตเนอร์อยู่เคียงข้างดังเช่นตลอดระยะเวลา 83 ปีที่ผ่านมา” นายกฤษณ์กล่าว
สำหรับสถานการณ์โควิดในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับตัวและใช้เทคโนโลยีรองรับโดยการให้พนักงานทำงานที่บ้านเกือบ 100% และเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีของบริษัทและวงการอุตสาหกรรมประกันชีวิตที่จะต้องปรับตัว
การระบาดของโควิด-19 กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และน่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตได้เพียง 0.5% โดยที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดด้วยเช่นกัน และบริษัทได้มีการออกมาตรการต่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
“ต้องยอมรับว่ามีลูกค้าสอบถามถึงการขอกู้กรมธรรม์เข้ามาจำนวนหนึ่งเหมือนกัน และบริษัทก็ได้ให้ความสะดวก รวมถึงช่วยแก้ปัญหาให้แก่ลูกค้าในช่วงที่ผ่านมา ส่วนในเรื่องของการขยายฐานลูกค้าและการขายสินค้าใหม่นั้น บริษัทมีการเตรียมความพร้อมด้านช่องทางดิจิทัลเอาไว้แล้วซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร และเบี้ยที่เก็บผ่านช่องทางนี้ถึงแม้จะเป็นการขายแบบไม่เจอตัวก็สูงถึง 1 ล้านบาทเลยทีเดียว”
นายกฤษณ์กล่าวอีกว่า สิ่งที่จะได้เห็นจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสต่อจากนี้คือการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมประกันชีวิต โดยจะหันมาเน้นในเรื่องของความคุ้มครองและแบบประกันประเภทยูนิตลิงก์มากขึ้น รวมถึงการใช้ช่องทางดิจิทัลที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นไปอีก