การปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ในช่วงที่ผ่านมาสร้างความตื่นตระหนกให้ตลาดหุ้น รวมถึงสินทรัพย์อย่างทองคำหรือแม้กระทั่ง Cryptocurrency ก็ได้รับผลกระทบจาก Bond Yield ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนที่ผ่านมา จนหลายคนเริ่มเกิดคำถามขึ้นมาว่าฟองสบู่ในตลาดหุ้นกำลังจะแตกหรือไม่ อัตราผลตอบแทนที่ได้จากการถือพันธบัตร หรือที่เรามักจะเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า Bond Yield โดยการปรับขึ้นของ Yield นั้นมาจากการที่พันธบัตรถูกขายออกมา และมักจะถูกใช้เป็นตัวชี้นำว่าธนาคารกลางจะต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในอนาคตข้างหน้า
เมื่อกล่าวถึงดอกเบี้ยแล้ว สิ่งที่มักจะมาควบคู่กันคือเงินเฟ้อธนาคารกลางอย่างเช่นในสหรัฐฯ รวมถึงประเทศไทย มักจะใช้นโยบายการเงินแบบกำหนดเงื่อนไขเงินเฟ้อ (Inflation targeting) ที่ทางธนาคาร กลางจะกำหนดกรอบและอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายไว้ล่วงหน้า โดยใช้เครื่องมืออย่างการปรับอัตรา ดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือในการควบคุมปริมาณเงินในระบบที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของตัวเลขเงินเฟ้อ
หากเราพิจารณาดูจากพัฒนาการต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาแล้วมีหลายปัจจัยมากที่ทำให้เงินเฟ้อ
กลับมาเป็นประเด็นที่ทำให้เราต้องกลับมาให้ความสำคัญอีกครั้ง ปัจจัยแรกเลยคือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายหลังจากวิกฤต COVID-19 ในช่วงปีที่ผ่านมาทั่วโลกต้องเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ เกินการว่างงานจำนวนมาก รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยที่ชะลอตัวตามลงไปส่งผลให้เงินเฟ้อนั้นต่ำ แต่ภายหลังจากที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาปกติ รวมถึงได้มีการแจกจำหน่ายวัคซีนไปยังหลายภูมิภาคแล้ว การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะดีขึ้นต่อเนื่องไปในแต่ละไตรมาส
ปัจจัยที่สอง คือ ราคาต้นทุนการผลิตที่มักจะเกี่ยวข้องราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นราคาน้ำมัน ในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการที่ OPEC ยังคงไม่กลับไปเพิ่มกำลังการผลิต รวมไปถึงเหตุการ์ณพายุฤดูหนาวที่รัฐเทกซัสซึ่งส่งผลต่อการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและน่าจะนำไปสู่เงินเฟ้อในช่วงเวลาข้างหน้า ส่วนปัจจัยสุดท้ายนั้นคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการคลังในปริมาณมหาศาลที่จะเพิ่มปริมาณเงินในระบบอีกไม่น้อย
แนวโน้มการกลับมาของเงินเฟ้อนั้นส่งผลให้นักลงทุนในพันธบัตรต้องเทขายตราสารหนี้กันออกมาเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการปรับตัวขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต จึงส่งผลให้ Bond yield นั้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา การปรับตัวขึ้นของ Bond yield ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในแง่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินสำหรับบริษัทจดทะเบียนที่ต้องออกพันธบัตรระยะยาวในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น นอกจากนี้แล้ว การเพิ่มขึ้นของ Bond yield นั้นจะกระทบต่อการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดอิสระ (Discount Free Cash Flow) ซึ่งหาก Bond yield เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้มูลค่าของบริษัทลดลง
หากจะตอบคำถามที่ว่าฟองสบู่กำลังจะแตกหรือไม่นั้น ส่วนตัวผมคิดว่าช่วงที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การหมุนของเงินลงทุนออกจากธุรกิจในกลุ่มที่เติบโตได้ดีในช่วงที่ผ่านมาอย่างเช่นกลุ่มเทคโนโลยีมายังอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าพื้นฐานที่ถูก และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากการเปิดเมือง และผมคิดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในช่วงต่อจากนี้ไปครับ