นายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือกองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) เตรียมจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 4 จากผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.21479 บาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อกำหนดสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 15 ธันวาคม 2563
เมื่อนับรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงการประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งล่าสุดจะส่งผลให้ SUPEREIF จ่ายเงินปันผลรวม 4 ครั้ง คิดเป็นเงิน 0.94797 บาทต่อหน่วย และจ่ายเงินคืนทุนไป 1 ครั้ง ในอัตรา 0.040 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินปันผลและเงินคืนทุนที่จ่ายออกไปทั้งสิ้น 0.98797 บาทต่อหน่วย
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2563 ของกองทุน SUPEREIF มีรายได้รวม 206.9 ล้านบาท รายได้จากการลงทุนสุทธิ 157.7 ล้านบาท อัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 76.2% ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2563 มีรายได้รวม 660.2 ล้านบาท รายได้จากการลงทุนสุทธิ 508.8 ล้านบาท อัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิ เท่ากับ 77.1%
ทั้งนี้ กองทุนรวม SUPEREIF ลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิจากการดำเนินโครงการกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินขนาดเล็กมากของบริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 19 โครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี สระบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ปราจีนบุรี สระแก้ว พิจิตร และเพชรบูรณ์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เสนอขายตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง (แล้วแต่กรณี) รวม 118 เมกะวัตต์
ขณะที่ระยะเวลาโอนสิทธิรายได้สุทธิ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2562 จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของแต่ละโครงการ ซึ่งระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้าภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 21-22 ปี นับจากวันที่ 14 สิงหาคม 2562 โดยวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโครงการสุดท้ายจะสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2584