นายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือกองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) ประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 1 ในอัตราหน่วยละ 0.23038 บาท และจ่ายคืนเงินทุนครั้งที่ 1 ในอัตราหน่วยละ 0.040 บาท โดยการลดมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) จากหน่วยละ 10.00 บาท เหลือหน่วยละ 9.960 บาท หรือรวมแล้วจ่ายเงินปันผลพร้อมจ่ายคืนเงินทุนเป็นเงินทั้งสิ้น 0.27038 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 7 สิงหาคม 2562-31 ธันวาคม 2562
ทั้งนี้ บริษัทจัดการกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนในวันที่ 5 มีนาคม 2563 เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหน่วยลงทุนในการรับเงินปันผลและรับคืนเงินทุนในวันที่ 19 มีนาคม 2563 ที่จะถึงนี้
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน SUPEREIF ประจำปี 2562 (7 สิงหาคม 2562-31 ธันวาคม 2562) มีรายได้รวม 302.9 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากเงินลงทุนในสัญญาโอนสิทธิรายได้สุทธิ 301.9 ล้านบาท และดอกเบี้ยรับ 1.0 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการลงทุนสุทธิอยู่ที่ 220.7 ล้านบาท อัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิอยู่ที่ 72.8% อย่างไรก็ดี ปี 2562 กองทุนมีการปรับมูลค่าเงินลงทุนในสัญญาโอนสิทธิรายได้สุทธิลดลงให้เป็นไปตามมูลค่ายุติธรรมของสิทธิในรายได้สุทธิที่มีการประเมินโดยผู้ประเมินราคาอิสระด้วย หรือปรับจาก 7,928.0 ล้านบาท เป็น 7,826.0 ล้านบาท จึงรับรู้รายการขาดทุนสุทธิจากการวัดมูลค่าเงินลงทุน 102.0 ล้านบาท
นายพรชลิตกล่าวว่า กองทุนรวม SUPEREIF ลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิจากการดำเนินโครงการกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินขนาดเล็กมากของบริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 19 โครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี สระบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ปราจีนบุรี สระแก้ว พิจิตร และเพชรบูรณ์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เสนอขายตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง (แล้วแต่กรณี) รวม 118 เมกะวัตต์
ขณะที่ระยะเวลาโอนสิทธิรายได้สุทธิเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2562 จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของแต่ละโครงการ ซึ่งระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้าภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 21-22 ปี นับจากวันที่ 14 สิงหาคม 2562 โดยวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโครงการสุดท้ายจะสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2584