บลจ. UOB ชี้ทยอยลงทุนได้หากหุ้นไทยต่ำ 1,200 แต่เลี่ยงกลุ่มได้รับผลกระทบจากโควิด แนะกระจายพอร์ตลงทุนต่างประเทศเพิ่ม ชูธีมนวัตกรรม-ESG สร้างผลตอบแทนดี แนวโน้มโตเพิ่มจากพฤติกรรมผู้บริโภค และเทรนด์การลงทุนโลก
นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้นักลงทุนสามารถทยอยลงทุนได้หากดัชนีปรับลดลงต่ำกว่า 1,200-1,100 จุดน่าจะเข้าสะสมการลงทุนได้ แต่ต้องระวังการแพร่ระบาดของโควิดระลอกสอง และยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มท่องเที่ยวและการส่งออก ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดรุนแรงและยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว
ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะอยู่ระดับประมาณ 1,300 จุดในช่วงปลายปี เพราะมุมมองต่อปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดคลี่คลายในทางที่ดีขึ้นแล้วสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ส่วนในกรณีเลวร้ายดัชนีปีนี้น่าจะต่ำสุดที่ประมาณ 1,185 จุด และไม่ลงไปลึกหรือต่ำกว่าระดับ 1,000 จุดเท่าช่วงเดือน มี.ค. และ เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยที่กดดันหุ้นไทยอยู่ขณะนี้มาจากปัญหาทางการเมืองเป็นหลัก
“ตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังประเมินยาก เพราะ ธปท.ก็เพิ่งมีการยืดหนี้เฉพาะรายออกไป ถ้าไม่ยืดอาจเป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้ยังต้องติดตามผลกระทบของ NPL ต่อ ซึ่ง ธปท.คาดเศรษฐกิจจะฟื้นได้ประมาณปี 65 ถ้าการเข้าลงทุนจะลงทุนในปี 64 ก็ยังไม่สายเพราะเศรษฐกิจจริงยังไม่ฟื้น” นายกุลฉัตร กล่าว
นายกุลฉัตรกล่าวอีกว่า การลงทุนที่บริษัทแนะนำต่อจากนี้คือการกระจายการลงทุนในต่างประเทศ โดยกองทุนที่บริษัทแนะนำจะแบ่งเป็น การลงทุนทั่วโลกที่เน้นหุ้นในกลุ่มนวัตกรรม การลงทุนในหุ้น ESG ที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในต่างประเทศ และสุดท้ายคือ การลงทุนในหุ้นจีน
สำหรับหุ้นทั่วโลกที่เน้นการลงทุนในกลุ่มนวัตกรรมปัจจุบันถือว่าทำผลตอบแทนได้ดีแต่ราคาเริ่มปรับตัวค่อนข้างมาก ซึ่งหากนักลงทุนต้องการเข้าลงทุนสามารถรอจังหวะให้หุ้นกลุ่มปรับตัวลดลงก่อนแล้วค่อยเข้าลงทุนเพิ่ม แต่บริษัทเชื่อว่าการลงทุนในระยะยาวหุ้นกลุ่มนี้ยังสามารถเติบโตได้อีกจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG บริษัทเชื่อว่าจะเป็นเทรนด์การลงทุนที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่กำลังให้ความสำคัญต่อหุ้นกลุ่มนี้ รวมถึงผลการดำเนินงานที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดได้ 3-5% จากผลงานที่ผ่านมา รวมถึงความสนใจของนักลงทุนเอเชียในหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกได้ในอนาคต
ขณะที่การลงทุนในหุ้นจีนฟื้นตัวและกลับมาเป็นปกติก่อนการแพร่ระบาดแล้ว ซึ่งแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลดีต่อการลงทุนในระยะถัดไป นอกจากนี้ หากนายโจ ไบเดน สามารถเอาชนะในการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ได้จะเป็นผลดีต่อหุ้นจีนมากขึ้น เนื่องจากแรงกดดันด้านนโยบายการค้าต่อจีนจะลดลงและสามารถเจรจากันได้มากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดกองทุนใหม่ 2 กองทุนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ประกอบด้วย กองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่เน้นความสำคัญด้าน ESG และกองทุนหุ้นจีนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้น A-share ซึ่งน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีต่อนักลงทุนในการกระจายความเสี่ยงการลงทุนในต่างประเทศ