xs
xsm
sm
md
lg

เลือกตั้งสหรัฐฯ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด

อีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าก็จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ดูเหมือนว่าการเมืองต่างประเทศนั้นจะเป็นเรื่องใกล้ตัวกับระบบเศรษฐกิจไทย รวมถึงการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้วนั้น เราไม่สามารถปฏิเสธถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของผู้นำในประเทศมหาอำนาจของโลกต่อสภาพเศรษฐกิจรวมไปถึงทิศทางการลงทุนได้

ปัจจัยที่นักลงทุนต้องจับตามองเป็นพิเศษในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่จะถึงนี้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มมหาอำนาจของโลกนั้นมักจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก รวมถึงทิศทางการลงทุนไม่ว่าจะทั้งทางตรง จากนโยบายทางการค้าระหว่างประเทศ รวมไปถึงผลกระทบทางอ้อม จากกระแสเงินลงทุนที่ถูกขับเคลื่อนจากนโยบายทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคงหนีไม่พ้นการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี่เองที่ทางฝั่ง Donald Trump ได้ชนะการเลือกตั้งไปเมื่อปี 2559

หากเราลองย้อนกลับไปพิจารณาดูนโยบายทางเศรษฐกิจที่ Trump นำมาใช้หลังการเลือกตั้งนั้น หลักๆ ได้แก่ การลดภาษีนิติบุคคล และนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ โดยผลพวงของทั้งสองนโยบายนี้ได้ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสภาพเศรษฐกิจ และการลงทุน จากการที่กระแสเงินการลงทุนกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่กลับมาเติบโตจากมาตรการลดภาษี นอกจากนี้แล้ว นโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจ จากการนำเข้าและส่งออกของหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบในทางลบรวมถึงไทยเช่นกัน

ผลกระทบของการเลือกตั้งในครั้งนี้ก็คงส่งผลผ่านทางนโยบายของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่าง Trump กับ Biden ซึ่งประเด็นหลักที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญคงหนีไม่พ้นในประเด็นของมาตรการทางการค้ากับประเทศคู่ค้า รวมไปถึงนโยบายความมั่นคงที่มีต่อประเทศจีน ผมคิดว่าหากคุณ Trump ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง นโยบายกีดกันทางการค้า รวมไปถึงประเด็นเรื่องสงครามทางการค้าจะกลับมาให้นักลงทุนปวดหัวอีกครั้งภายหลังการเลือกตั้ง ในขณะที่ทางฝั่งผู้ท้าชิงจากพรรค Democrat ที่คะแนนความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างคุณ Biden ได้รับตำแหน่งแล้วนั้น ประเด็นด้านการกีดกันทางการค้าก็น่าจะเปลี่ยนเป็นการร่วมมือทางการค้าเฉพาะกลุ่ม อย่างเช่น ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก TPP ที่ให้สิทธิประโยชน์ในด้านของภาษีการนำเข้า แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นด้านความมั่นคงกับประเทศจีนก็น่าจะเป็นประเด็นที่ทางฝั่ง Biden รวมถึงทำเนียบขาวให้จุดยืนตรงข้ามกับจีนอยู่เช่นเคย

ในช่วงระยะสั้นนั้น ประเด็นของการเลือกตั้งสหรัฐฯ น่าจะเป็นสิ่งที่สร้างความผันผวนต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงหนึ่งเดือนข้างหน้า ในขณะที่นโยบายหลังการเลือกตั้งก็คงมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูสภาวะเศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 นักลงทุนคงต้องคอยจับตาผลการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ที่ผลลัพธ์อาจจะส่งผลต่อภาพการลงทุน และเศรษฐกิจในระยะยาวได้ครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น