นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ผ่านมา ที่ดัชนีฟื้นตัวอย่างรวดเร็วมากกว่าการพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง โดยเฉพาะตลาดหุ้น S&P 500 ที่ราคาหุ้นเทคโนโลยีกลุ่ม FANG+ เช่น Facebook Apple Netflix Google ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง อย่างไรก็ตาม คาดว่า หุ้นกลุ่มดังกล่าวน่าจะลดความร้อนแรงลงบ้าง คาดตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับฐาน ส่วนราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำสถิติใหม่ ซึ่งเกิดจากการเก็งกำไรและฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETFs ดังนั้น จึงยังต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง และพร้อมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว โดยคาดว่า กว่าที่ประชากรส่วนใหญ่จะได้รับการฉีดวัคซีนและสามารถเดินทางต่างประเทศได้เป็นปกติ จะต้องใช้ระยะเวลาอีกอย่างน้อย 1-3 ปี
ทั้งนี้ ทีมจัดการลงทุนคงเน้นกระจายการลงทุนด้วยกลยุทธ์ Stay Invested Stay Diversified แนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุนด้วยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน REITs และ Infrastructure Fund ที่ราคายังปรับตัวขึ้นช้ากว่าหุ้น สะท้อนจากดัชนี Global REITs Index ในไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ผ่านมามีอัตราผลตอบแทน -18.7% อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาผลตอบแทนจากเงินปันผลโดยเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ 3.9% ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และโดดเด่นกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลที่ให้อัตราผลตอบแทนเพียง 0.3% (ที่มา: PrinRE Presentation ข้อมูล ณ 31 กรกฎาคม 2563)
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะทรงตัวในระดับต่ำไปอีกนาน เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังต้องใช้ระยะเวลาฟื้นตัว การลงทุนใน REITs จึงน่าจะกลับมาได้รับความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะ REITs ที่ลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์และโลจิสติกส์ ยังให้ผลตอบแทนในไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ผ่านมา เป็นบวกหรือติดลบเล็กน้อย (ที่มา: Principle Asset Management and DVS Vickers ณ 30 มิถุนายน 2563) เช่น Frasers Logistics & Industrial Trust, Keppel DC REIT ที่ยังคงมีอัตราเช่าพื้นที่ในระดับสูง
“เราแนะนำเพิ่มน้ำหนักลงทุนใน REITs เพื่อคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทน 4-6% โดยสามารถลงทุนผ่านกองทุนเปิด พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม D หรือ PRINCIPAL iPROP-D หรือลงทุนผ่านกองทุนเปิดพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม เพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ PRINCIPAL iPROPRMF ที่ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์ (ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563) ให้อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 4.65% เทียบกับดัชนีอ้างอิงอยู่ที่ 1.83% โดยปัจจุบันทั้ง 2 กองทุนเน้นลงทุนใน REITs และ Infrastructure Fund ที่มีศักยภาพและได้รับผลกระทบไม่มากจาก COVID-19 ส่วนใหญ่เป็น REITs ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์และลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก และ Infrastructure Fund ที่จดทะเบียนในไทยและสิงคโปร์” นายวิน กล่าว
ขณะเดียวกัน ทีมจัดการมีมุมมองเชิงบวกกับการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่บริหารจัดการโรคระบาดได้ดีแม้มีการระบาดรอบที่ 2 แต่จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตสะสมยังอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้จะอยู่ที่ 3.6% ปัจจัยสนับสนุนคือตัวเลขการลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 1.88 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 6 แสนล้านบาท) ส่วนตัวเลขการค้าระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับที่ดี จากมูลค่าการส่งออกช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ยังคงเพิ่มขึ้น 0.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.9% (ที่มา: VCSC Vietnam Macro, ณ 20 สิงหาคม 2563) โดยมีหุ้นที่น่าสนใจ อาทิ FPT Corporation (FPT) ผู้นำด้านไอที เอาต์ซอร์สซิ่ง, Vincom Retial (VRE) ซึ่งเป็นผู้บริหารศูนย์การค้ารายใหญ่
ปัจจุบัน บลจ.พรินซิเพิล มีกองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ-A) ที่ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม เน้นหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เติบโตเร็ว มีสภาพคล่อง และ Valuation เหมาะสม พร้อมทั้งกำหนดสัดส่วนการลงทุนหุ้นแต่ละบริษัทในระดับเหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยง