คุ้มภัยโตเกียวมารีนรับโควิดกระทบเบี้ย แต่มั่นใจทั้งปีปิดยอด 1.7 หมื่นล้านบาท หวังดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน ตั้งเป้า 3 ปีใหญ่กว่าและดีกว่า ด้วยความร่วมมือหลังการควบรวม 2 บริษัท
นายฮิโระโนะริ คิริว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจและยอดขายรถยนต์ใหม่ลดลง ซึ่งกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ทำให้เบี้ยรับรวมของบริษัทมีอัตราการเติบโตลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการติดลบของประกันภัยรถยนต์ 13% และประกันภัยทางทะเล 6%
อย่างไรก็ตาม การปรับกลยุทธ์หลังโควิด และการที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายจะทำให้ผลงานในช่วงครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้นได้ ซึ่งการที่ GDP ติดลบ 7% ทั้งปี แต่เมื่อคลายล็อกมีการเติบโตอย่างชะลอตัวมีผลกระทบต่อวินาศภัยทั้งทางทะเลและขนส่ง ยอดขายรถใหม่ก็มีผลต่อบริษัท แต่เชื่อว่าจะสามารถปรับตัวได้ในอนาคต และปิดเบี้ยรับรวมสิ้นปีได้ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท แต่ถือว่าลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งมีเบี้ยรับรวมประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจภายหลังการควบรวมกิจการ ในปี 2563 นี้บริษัทได้กำหนดกลยุทธ์ในระยะสั้นและระยะกลาง ด้วยการเน้นการยกระดับการให้บริการแก่ลูกค้า รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อให้บริการที่มีคุณภาพ ภายใต้แนวคิด Foster a Sustainable Future โดยคาดหวังว่าจะนำพาให้องค์กรมีความพร้อมเพื่อก้าวสู่การเติบโตได้ในระยะยาว
ทั้งนี้ ภายหลังกระบวนการควบรวมกิจการได้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีความคืบหน้าในหลายด้าน สำหรับการควบรวมระหว่าง บมจ.คุ้มภัยประกันภัย กับ บมจ.โตเกียวมารีนประกันภัย ได้มีการนำจุดแข็งของทั้งสององค์กรนำมาร่วมกันวางแผนกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ในการดำเนินงาน เพื่อผลักดันให้องค์กรพร้อมก้าวสู่การเติบโตได้ในระยะยาว และมุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อนธุรกิจประกันวินาศภัยไทยสู่ความยั่งยืน
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนในการย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังอาคารเอสเแอนด์เอ ถนนสีลม เพื่อให้การบริหารงานมีความเป็นเอกภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังมีแผนในการรวมกิจการสาขาใน 23 จังหวัด ที่มี 2 สาขาเข้าไว้ด้วยกัน ปัจจุบันการรวมสาขาแล้วเสร็จจำนวน 10 สาขา ซึ่งจะทำให้สามารถดูแลและให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ในส่วนของการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ตัวแทนและนายหน้า โดยบริษัทได้พัฒนาระบบ Safe Smart ให้สามารถบริหารจัดการและให้บริการลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ
นายฮิโระโนะริกล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการดำเนินงานในอีก 3 ปีข้างหน้าว่า ธุรกิจโตเกียวมารีนในเอเชียได้มีการวางแผนผ่านสโลแกน “ใหญ่กว่า ดีกว่า” ภายใต้การนำเสนอผลิตภัณฑ์และการให้บริการที่เป็นเลิศ ผ่านความท้าทายต่างๆ โดยผ่านกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใน 4 ด้าน ได้แก่ Revenue Synergy ความร่วมมือเพื่อสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการ Capital Synergy ความร่วมมือด้านการบริการเงินทุน Cost Synergy ความร่วมมือด้านการบริหารต้นทุนให้เกิดศักยภาพสูงสุดในการปฏิบัติงาน และ Investment Synergy ความร่วมมือด้านการลงทุน