นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทยมาตั้งแต่ปี 2542 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี 2562 พบว่าคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งวันละ 221 คน หรือ 80,665 คนต่อปี คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยชั่วโมงละ 9 คน และยังพบผู้ป่วยรายใหม่ถึงวันละ 336 คน หรือ 122,757 คนต่อปี ขณะที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ในปี 2573 ทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงถึง 13 ล้านคน จากปี 2562 ที่มีการเสียชีวิตอยู่ที่ 9.6 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม จากค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็งที่สูงมากดังกล่าว อาจต้องแลกมาด้วยค่ารักษาที่ต้องใช้เงินที่เก็บมาทั้งชีวิตและบางรายเงินที่เก็บมาอาจจะไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องมีตัวช่วยในการรับมือกับโรคร้ายอย่าง “ประกันมะเร็ง” มาช่วยรับความเสี่ยงแทน
หากพิจารณาให้ดีจะสามารถเลือกประกันในค่าเบี้ยเพียงหลักพันบาทแต่ให้ความคุ้มครองสูงถึงหลักล้านบาทได้ อีกทั้งค่าเบี้ยประกันมะเร็งยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท (มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2563) ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก ซึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจทำประกันมะเร็ง ประกอบด้วย
1. ความคุ้มครอง แบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆ คือ 1) ความคุ้มครองที่เป็นเงินก้อนที่จะได้รับเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง และ 2) ความคุ้มครองที่เป็นวงเงินค่ารักษาพยาบาลจากโรคมะเร็ง ปกติจะคุ้มครองตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวงเงินที่กำหนด ซึ่งหากกรมธรรม์ประกันมะเร็งที่เลือกนั้นมีทั้งความคุ้มครองที่เป็นเงินก้อนและวงเงินค่ารักษาพยาบาล จะยิ่งทำให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
2. ช่วงอายุการรับประกันและการต่ออายุการรับประกัน ควรพิจารณาเลือกกรมธรรม์ที่มีระยะเวลาความคุ้มครองที่ยาวนาน จะได้ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงไว้เอง เช่น สมัครได้ตั้งแต่อายุ 1-60 ปี และสามารถต่ออายุความคุ้มครองได้ถึง 70 ปี
3. ลักษณะการคิดค่าเบี้ยประกันรายปี มี 2 รูปแบบ คือ ค่าเบี้ยประกันแบบคงที่และแบบปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงอายุ ถ้าเป็นค่าเบี้ยประกันแบบคงที่หากทำในตอนที่อายุยังน้อยก็จะยิ่งคุ้มค่า เพราะค่าเบี้ยประกันก็จะยิ่งถูก
4. ข้อยกเว้นความคุ้มครอง เช่น กรมธรรม์จะไม่คุ้มครองหากเป็นมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น ซึ่งจำเป็นจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนกับความเสี่ยงของตัวเอง และควรพิจารณาระยะเวลารอคอยหรือระยะเวลาที่กรมธรรม์จะไม่คุ้มครองด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วระยะเวลารอคอยของประกันมะเร็งจะอยู่ที่ 90 วัน
5. ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม เช่น ค่าตรวจวินิจฉัยซ้ำโรคมะเร็ง ค่าเดินทางไปรักษาตัวสำหรับโรคมะเร็ง ค่าชดเชยรายได้ เป็นต้น หากกรมธรรม์ที่กำลังพิจารณามีความคุ้มครองเหล่านี้เพิ่มเติม ก็จะยิ่งมีความคุ้มค่ามากขึ้น