xs
xsm
sm
md
lg

ทิสโก้ชี้หุ้นเอเชียพระเอกปีหนู ไทยยังมีอัปไซด์อาจเห็น 1,740

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บลจ.ทิสโก้คาดฟันด์โฟลว์ไหลกลับลงทุนตลาดเกิดใหม่ เอเชีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ไต้หวัน รับอานิสงส์มากสุด ส่วนไทยแรงดึงดูดน้อย เหตุบาทแข็งค่าต่อเนื่อง แต่มั่นใจหุ้นไทยยังมีอัปไซด์ ดัชนีปีหนูแตะ 1,740 แนะลงทุนกองทิสโก้ สแตรทิจิก อิควิตี้ ผลงานระดับแชมป์ ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีกว่า 16%

นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนของตลาดหุ้นปีนี้เชื่อว่าน่าจะมีเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ภูมิภาคเอเชียมากขึ้น หลังจากในปีที่ผ่านมามีเม็ดเงินลงทุนไหลออกไปลงทุนในตลาดพัฒนาแล้ว เนื่องจากปัจัยด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนส่งผลให้หุ้นตลาดเกิดใหม่และตลาดหุ้นเอเชียมีโอกาสทำอัปไซด์อีกครั้ง

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปีนี้น่าจะได้รับอานิสงส์จากการกลับเข้าลงทุนของต่างชาติน้อยกว่าประเทศในภูมิภาคเดียวกัน เนื่องจากแนวโน้มค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะเติบโตและแตะระดับประมาณ 1,650-1,740 จุด ซึ่งเป็นมุมมองในครึ่งแรกของปีนี้ ขณะที่มุมมองในครึ่งปีหลังของปีนี้คงจะมีการประเมินภาพรวมอีกครั้ง โดยเฉพาะปัจจัยภายในและนอกประเทศที่ยังส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูง

"ตลาดหุ้นเอเชียและหุ้นตลาดเกิดใหม่จะพลิกกลับมาเป็นบวก หลังจากที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำจากการถูกดาวน์เกรดมาตลอดในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเอเชียเหนือ ทั้งเกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน อินเดีย ส่วนไทยคงจะได้รับประโยชน์น้อยสุดเพราะมีเรื่องของค่าเงินบาทที่ทำให้แรงจูงใจของนักลงทุนลดลง" นายสุพงศ์วร

นายสุพงศ์วรกล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2563 คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังคงเติบโตน้อย คาดว่าอยู่ที่ระดับ 2.6% และมีโอกาสปรับตัวลดลงได้จากการชะลอตัวของอุปสงค์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยมีการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนการเติบโตของผลกำไรบริษัทที่คาดว่าจะเติบโตในระดับประมาณ 8-10%

สำหรับหุ้นกลุ่มที่บริษัทให้ความสนใจลงทุนในปีนี้และให้น้ำหนักมากกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มอาหาร ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ปิโตรเคมี ไอซีที อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกลุ่มหุ้นให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ คอนซูเมอร์ วัสดุก่อสร้าง สาธารณูปโภค และกลุ่มที่ให้น้ำหนักเท่ากับตลาด ได้แก่ พลังงาน ธนาคาร ท่องเที่ยว เฮลท์แคร์ บริการรับเหมาก่อสร้าง ขนส่งและโลจิสติกส์

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า จากการประเมินสภาพตลาดหุ้นไทยในปีนี้แล้ว แม้ว่าจะมีอัปไซด์ไม่เท่ากับตลาดอื่นที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน แต่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตราสารทุนยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ประกอบกับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ หุ้นยังเป็นช่องทางในการสร้างผลตอบแทนที่ดี

สำหรับกองทุนที่ทาง บลจ.ทิสโก้อยากแนะนำ คือ กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก อิควิตี้ ซึ่งให้ผลตอบแทนดีต่อเนื่อง โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 16.14% อันดับ 1 ของ 146 กองทุนรวมในกลุ่ม ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี ให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 1 เช่นกันที่ 9.77% สำหรับหลักทรัพย์ 5 อันดับแรกที่กองทุนฯ นี้เข้าลงทุนมากที่สุด ได้แก่ หุ้น MTC ประมาณ 9.14% หุ้น GULF ประมาณ 9.2% หุ้น IVL ประมาณ 8.95% หุ้น INTUCH ประมาณ 8.58% และหุ้น BDMS ประมาณ 7.83% ทั้งนี้ ด้วยกลยุทธ์ลงทุนที่เชี่ยวชาญ มั่นใจว่ากองทุนฯ ดังกล่าวเติบโตต่อเนื่อง

“ตลาดหุ้นไทยยังมีอัปไซด์แต่ยังไม่ได้เป็นขาขึ้นชัดเจน และไม่ได้โดดเด่นไปกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน ดังนั้นเรายังคงให้ความสำคัญต่อการเลือกหุ้นรายตัวและรายกลุ่มอยู่ ซึ่งกองทุนนี้จะพิเศษตรงที่เราคัดเลือกหุ้นและให้น้ำหนักตามที่เราชอบไม่จำเป็นต้องให้ตามตลาด ถ้าเราชอบมากก็ให้มากกว่าได้ และหุ้นแต่ละเดือนที่เราลงทุนอาจไม่เหมือนกันเลยก็ได้ ซึ่งจะแอ็กทีฟมาก และก็น่าจะพิสูจน์ได้จากผลงานว่าการเลือกหุ้นจะให้ผลตอบแทนดีกว่ากองดัชนีในช่วงนี้” นายสาห์รัชกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น