โดย ทีมจัดการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด
สถานการณ์สงครามการค้าและการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเริ่มมีสัญญาณเชิงบวกขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่ตัวแทนทั้งสองประเทศเริ่มมีการพูดคุยตกลงกันมากขึ้นและผ่อนปรนท่าทีลงมาจากเดิม ซึ่งประเด็นนี้แสดงถึงความกังวลของทั้งสองฝ่ายที่รับรู้ถึงผลกระทบที่มีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในวงกว้าง หากสงครามการค้ายืดเยื้อหรือรุนแรงขึ้น รวมไปถึงเหตุการณ์สำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในปี 2020 แม้เราจะมีมุมมองว่าในท้ายที่สุดแล้วสงครามการค้าจะต้องจบลงในทางใดทางหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามข้อสรุปทางการค้าอย่างชัดเจนนั้นคาดว่าจะไม่เกิดขึ้นโดยง่ายและ/หรือไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งอาจจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดเป็นระยะ ซึ่งเห็นได้จากหลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมาที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาทั้งในเชิงบวกและลบ
แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวยังทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปได้ในมุมมองของเรา แม้จะเป็นไปในอัตราชะลอลงก็ตาม ภายใต้ปัจจัยสนับสนุนของภาวะดอกเบี้ยในระดับต่ำจากการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินโดยธนาคารกลางทั้งหลาย รวมถึงราคาน้ำมันดิบโลกที่ประเมินว่าจะทรงตัวในระดับต่ำต่อไปในระยะสั้นถึงกลางจากภาวะอุปทานล้นตลาด ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหลายตัวเริ่มมีการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดโดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจภาคการผลิตที่มีปัญหาก่อนหน้านี้ สะท้อนถึงการจำกัดของความเสี่ยงขาลงของความต้องการใช้ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
ในส่วนของภาวะการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างซบเซาและคาดว่าจะอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศที่กล่าวไปข้างต้น รวมไปถึงปัจจัยเฉพาะตัวในประเทศต่างๆ เช่น ภาวะภัยแล้งในวงกว้าง แนวนโยบาย Macro-prudential ของธนาคารแห่งประเทศไทย การดำเนินการและเดินหน้านโยบายการคลังภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการตึงตัวทางนโยบายการเงินและการขาดกิจกรรมการลงทุนในประเทศที่มีนัย อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตได้ รวมถึงการบริโภคในประเทศในบางกลุ่มจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งนี้ TISCO ESU ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2020 อยู่ที่ระดับ 2.6% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับการเติบโตในปี 2019 พร้อมคาดหวังการลดดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้ง (25 bps) โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อช่วยพยุงภาวะเศรษฐกิจ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทย เราประเมิน SET Index Target ณ สิ้นปี 2020 อยู่ที่ระดับ 1,740 จุด ภายใต้กลยุทธ์การทำ Stock Selection เป็นหลัก บนมุมมองภาวะตลาดที่จะยังคงมีความผันผวนต่อไป ประกอบกับประเด็นในเรื่องของเม็ดเงินลงทุนกองทุน LTF ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยกองทุน Super Saving Fund (SSF) นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป โดย บลจ.ทิสโก้มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นบริษัทที่เอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากกว่าเศรษฐกิจในประเทศไทย รวมถึงหุ้นบริษัทที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ แต่มีอำนาจต่อรองทางการค้าและมีการจัดการภายในที่ดี โดยให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาดในกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มสื่อนอกบ้าน กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ ขณะที่ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาดในกลุ่มพาณิชย์และค้าปลีก กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์