บลจ.ธนชาตตั้งเป้าปีนี้ AUM แตะ 2.3 แสนล้านบาท หลังยอด 7 เดือนหรูแตะ 2.19 แสนล้านบาท เล็งออกเพิ่มอีก 1 กองทุนลุยหุ้นขนาดใหญ่ 20 อันดับแรก แถมประกันสุขภาพ ระบุสินทรัพย์เสี่ยงผลตอบแทนดีแต่แนะกระจายพอร์ตลงทุน พร้อมเลือกหุ้นปันผล หลังตลาดไทยชะลอตั้งแต่ต้นปีโตแค่ 2% ขณะ
เดียวกันคาดเศรษฐกิจไทยปีหน้าโตน้อยใกล้เคียงปีนี้ แนะจับตาเฟด เงินเฟ้อ และค่าเงินบาท เสี่ยงดันเงินไหลออก
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ในปี 2560 จะเติบโตราว 20% หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 2.3 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 2559 ที่มี AUM รวมทุกธุรกิจอยู่ที่ 1.89 แสนล้านบาท และปัจจุบันผ่านมา 7 เดือนเพิ่มขึ้นเป็น 2.19 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นกองทุนรวมประมาณ 89% หรือประมาณ 1.94 แสนล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล 1 หมื่นล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.44 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าเฉพาะธุรกิจกองทุนรวมในปีนี้น่าจะเติบโตได้ถึง 2 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันบริษัทฯ ออกกองทุนใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 32 กองทุน แบ่งเป็นกองทุนหุ้นปันผล 2 กองทุน และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 1 กองทุน ที่เหลือเป็นกองทุนเทอมฟันด์ 29 กองทุน โดยช่วงที่เหลือของปีบริษัทฯ มีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความมั่นคง เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยนอกจากผู้ลงทุนจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้แล้ว กองทุนนี้ยังมีประกันสุขภาพมอบให้ผู้ลงทุนด้วย
โดยกองทุนใหม่ที่กำลังจะเปิดขายจะมีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ 20 อันดับแรก ยกตัวอย่างเช่น หุ้นในกลุ่มโทรคมนาคม ธนาคารพาณิชย์ หรือวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น โดยจากการสำรวจพบว่าหุ้นในกลุ่มนี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บริษัทเชื่อว่าสินทรัพย์เสี่ยงยังคงมีความน่าสนใจ แต่แนะนำให้นักลงทุนกระจายพอร์ตลงทุน โดยมีเงินลงทุนบางส่วนในหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ และตลาดยุโรปที่คาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้น่าสนใจ ส่วนตลาดอเมริกา หากนักลงทุนมีพอร์ตก็ยังสามารถถือต่อได้แต่ราคาจะแพงไปสำหรับการสะสมเพิ่ม ซึ่งหากต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นก็ควรเน้นลงทุนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม หรือเป็นรายตัวโดยเฉพาะกลุ่มหุ้นสุขภาพ ซึ่งสถานการณ์ก็สดใสขึ้นหลังจากข้อเสนอยกเลิกนโยบายโอบามาแคร์ตกไป ส่วนการลงทุนในหุ้นไทยถือว่ายังน่าสนใจถึงแม้ในช่วงต้นปีที่่ผ่านมาหุ้นไทยจะมีการเติบโตแค่ 2% ก็ตาม
“กองทุนหุ้นปันผลยังน่าลงทุน เพราะถ้าดูผลตอบแทนระดับ 3-4% ยังจูงใจนักลงทุนอยู่ ส่วนเรื่องตราสารหนี้ถ้ามีการเก็บภาษีจริงคงกระทบไม่มาก เพราะถ้าส่วนต่างของยิลด์กับดอกเบี้ยแบงก์ยังมีอยู่เงินคงยังไม่ย้ายไปไหน และเชื่อว่าหลังจากนี้มันจะปรับเข้าดุลยภาพของมันเอง ส่วนเทอมฟันด์ตอนนี้เราไม่มีปัญหาเรื่องผิดนัดชำระหนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่ลงนอนเรตติ้ง เรามีแต่เราจะพิจารณาก่อนว่ามันคุ้มไหม ซึ่งปัจจุบันถึงแม้จะมีคนมาเสนอยิลด์ที่สูงขึ้นแต่มันเสี่ยงเกินไปก็ไม่เอา ซึ่งในความจริงตราสารของหลายบริษัทถึงไม่มีเรตติ้งแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ดี” นายบุญชัยกล่าว
ด้าน นายโชติช่วง ธีรขจรโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์มหภาค บลจ.ธนชาต กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะในภูมิภาคหลักๆ ซึ่งเป็นการขยายตัวแบบเป็นไปพร้อมๆ กัน โดยคาดว่าระยะถัดไปอาจมีชะลอตัวลงบ้าง เพราะหากเทียบกับฐานปัจจุบันที่อยู่ในอัตราที่สูงมาก แต่ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีหน้า ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังคงมีการเติบโต ตัวเลขการส่งออก ตัวเลขนักการท่องเที่ยว ยังคงขยายตัวได้ ประกอบปัจจัยการเมืองในปีหน้า ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะขยายตัวได้ใกล้กับปีนี้ คือใกล้ๆ ระดับ 3.5%
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่น่าจะต้องจับตาในครึ่งหลังของปี คือ อัตราเงินเฟ้อในอเมริกาและไทย เพราะหากเงินเฟ้อในอเมริกาเพิ่มมากขึ้นอาจทำให้การขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงและเร็วกว่าที่คาด ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ปรับสูงขึ้นซึ่งจะกระทบผู้ลงทุน ส่วนไทยเอง ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้ค่าเงินบาทค่อนข้างมีแนวโน้มแข็งค่าอยู่ ส่งผลให้มีกระแสเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน แต่หากอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นกว่านี้มากก็จะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดเงินทุนไหลออก
“สำหรับกองทุนที่แนะนำให้มีติดพอร์ต ยังแนะนำสินทรัพย์ประเภทหุ้นมากกว่า และควรมีหุ้นต่างประเทศในพอร์ต สำหรับสินทรัพย์ในไทย ยังแนะนำสินทรัพย์ที่ให้รายได้สม่ำเสมอ และผันผวนต่ำ เช่น หุ้นปันผล หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน เพราะดอกเบี้ยไทยปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำ แต่อัตราผลตอบแทนอสังหาฯ นั้นสูงพอสมควรเฉลี่ยประมาณ 5% กว่า”