บลจ.กรุงศรีเปิดตัว กองทุนเปิดกรุงศรีชีวิตดี๊ดี (Krungsri Happy Life Fund - KFHAPPY) เพื่อโอกาสสร้างความมั่นคงและเพิ่มการเติบโตของเงินลงทุนด้วยสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ 75% และมีความยืดหยุ่นในการลงทุนอีก 25% แนะลงทุนสินทรัพย์ผสมผสานช่วยลดความผันผวนจากตลาดได้ มองหุ้นญี่ปุ่นน่าสนใจ เนื่องจากราคาถูกและผลตอบแทนดี
นายพงษ์อนันต์ ธณัติไตร ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยและเครือข่ายการขาย ธนาคาร
กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน กองทุนเปิดกรุงศรีชีวิตดี๊ดี (KFHAPPY) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเงินฝากที่ต้องการช่องทางและโอกาสในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร และรองรับอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ราว 2.5% ต่อปีโดยมีระดับความเสี่ยงจากการลงทุนไม่มาก ด้วยการบริหารจัดการและปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ
“เราพบว่ามีลูกค้าจำนวนมากที่มองหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สามารถสู้กับอัตราเงินเฟ้อได้ ซึ่งในภาวะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบันอาจไม่สามารถทำได้ ดังนั้น ภายใต้กลยุทธ์การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือ Customer Centricity ธนาคารและ บลจ.กรุงศรีจึงได้ทำงานร่วมกันในการออกกองทุน KFHAPPY ซึ่งตอบโจทย์ทั้งด้านผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราเงินเฟ้อ ในขณะที่ความเสี่ยงไม่มาก นอกจากนี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท กองทุนเปิด KFHAPPY จะสนับสนุนให้เกิดการออมในภาคประชาชนทั่วไปอีกด้วย”
นางสาวศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า “ในปัจจุบันการลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอและสามารถเอาชนะเงินเฟ้อในระยะยาวนั้นถือเป็นเรื่องที่มีความท้าทายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้แบบเดิมๆ ลดลงเช่นกัน โดยหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและเหมาะสมในการลงทุนคือตราสารหนี้ แต่นักลงทุนที่ร่ำรวยในโลกนี้ต่างก็ไม่ได้ลงทุนเฉพาะตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว แต่ได้มีการลงทุนในหุ้นควบคู่กันไปด้วย เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบผลตอบแทนที่ผ่านมาจะพบว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น 1 ปี เป็นระยะเวลา 10 ปี สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 2.91% และการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นระยะเวลา 10 ปี สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 5.29% ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นเป็นระยะเวลา 10 ปี สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 12.67%”
“จะเห็นว่าการลงทุนในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีพอที่จะสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งได้ ดังนั้น ความสำคัญจึงอยู่ที่การกระจายการลงทุนและการจัดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างเหมาะสมมากกว่ามุ่งเน้นการจับจังหวะลงทุน การจัดสัดส่วนการลงทุนที่ดีจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนพร้อมเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จากสถิติที่ผ่านมาพบว่ากว่า 94% ของผลตอบแทนในการลงทุนมาจากการจัดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม ในขณะที่การจับจังหวะการลงทุนส่งผลต่อผลตอบแทนโดยเฉลี่ยเพียงแค่ 2% เท่านั้น”
นางสาวสิริพรเสริมว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง อาจจะเดือนกันยายนหรือเดือนธันวาคม อาจส่งผลกระทบต่อตราสารหนี้ต่างประเทศอยู่บ้าง แต่ตลาดตราสารหนี้ไทยไม่ได้รับผลกระทบ แนะควรลงทุนกองผสมเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของตลาดทุน มองหุ้นญี่ปุ่นเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนเนื่องจากราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ ที่ราคาแพง แล้วผลตอบแทนค่อนข้างดีอีกด้วย