LHFund ชูกองทุนน้องใหม่ LHPROP-A ที่เข้าลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในแถบเอเชียเป็นทางเลือกกระจายการลงทุน เพื่อรับผลตอบแทนจากเงินปันผลและส่วนต่างราคา เช่นเดียวกันกับกอง LHTPROP LHTPROP-I พร้อมแนะนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงขึ้นจากความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เลือกลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มปรับขึ้นได้อีก หลังเงินเยนอ่อนค่าส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจและทิศทางตลาดหุ้น
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LHFund เปิดเผยว่า หลังจากที่เปิด IPO กองทุน LH Property Plus A (LHPROP-A) นักลงทุนให้การตอบรับเป็นที่น่าพอใจ จนต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนกองทุน LHPROP-A เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่สนใจลงทุนอย่างล้นหลาม ทั้งนี้ LHPROP-A ถือเป็นทางเลือกกระจายการลงทุนในหน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) /หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในแถบเอเชีย ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอประมาณ 3.5-8% ต่อปี (ที่มา Bloomberg 15 พ.ย. 59)
“เราใช้เวลาศึกษาข้อมูล REITs และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในแถบเอเชียมากกว่า 6 เดือนก่อนที่จะตัดสินใจขอจัดตั้งกองทุน โดยพบว่าอัตราค่าเช่าและราคาอสังหาริมทรัพย์ เช่น อาคารสำนักงานและโรงแรมในญี่ปุ่น ห้างค้าปลีกในแถบที่อยู่อาศัยในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาะฮ่องกง เป็นต้น ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่ากองทุน LHPROP-A น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะยาวและกระจายการลงทุนไปลงทุนในตราสารที่มีลักษณะคล้ายกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย โดยกองทุนนี้ได้กำหนดสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 79% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) และมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจของ บลจ.” นายมนรัฐกล่าว
กรรมการผู้จัดการ LHFund กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงมากขึ้นนั้น ทาง บลจ.ขอแนะนำการลงทุนในตลาด TOPIX ของประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกทางเลือกของการลงทุน เนื่องจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับขึ้นได้อีกในอนาคตจากปัจจัยเกื้อหนุน 4 ส่วน คือ 1. สกุลเงินเยนที่จะอ่อนค่าลงอีก หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นตามการคาดการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเงินเยนอ่อนค่าลงก็จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่น 2. ค่า P/E (Price / Earnings Ratio) ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ยังต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และค่า P/BV (Price / Book Value) ที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลก 3. กระแสลงทุนจากต่างชาติ เงินทุนจากภาคเอกชน และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่คาดว่าจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น และ 4. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่สะท้อนจากดัชนี PMI ซึ่งเป็นตัวชี้วัดภาคการผลิตเริ่มปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบัน บลจ.มีกองทุน LH JAPAN - E FUND (LHJAP-E) ซึ่งเป็นกองทุนแบบ Feeder Fund ที่เข้าลงทุนใน Amundi Funds Equity Japan Target เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีผลการดำเนินงานดี ซึ่งปัจจุบันนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อเดือนสิงหาคมจนถึงวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา LHJAP-E มีมูลค่าสินทรัพย์เท่ากับ 11.1714 บาทต่อหน่วย และสามารถจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนแล้ว 1 ครั้ง ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย
“เรามองว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีความน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุน สอดคล้องกับสถาบันการเงินชั้นนำในต่างประเทศที่เริ่มปรับมุมมองที่ดีขึ้นต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยเรามองว่าเงินเยนน่าจะอ่อนค่าลงได้อีกในอนาคต หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ และจะเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนต่อภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน มีแนวโน้มที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะออกมาตรการเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย” นายมนรัฐกล่าว