ภาพการลงทุนของสินทรัพย์เสี่ยงในปีหน้าจะเป็นปีของการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วมากกว่าในแถบเอเชีย ส่วนหนึ่งมาจากประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้น โดยพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีคนใหม่สามารถครองได้ทั้ง 2 สภาทั้งสภาสูงและสภาล่าง นั่นหมายถึงอำนาจค่อนข้างเบ็ดเสร็จในการบริหารประเทศ และผลักดันนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ให้มีความต่อเนื่องมากขึ้น โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ด้วยการลดอัตราภาษีรายได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดา รวมทั้งเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาล ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลกลับไปยังสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก และตลาดเริ่มน้ำหนักการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ เช่นกัน
ในภาพของการลงทุนแล้วนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัว ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2559 เติบโตเร่งขึ้นดีกว่าที่คาดการณ์ ตัวเลขการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อยังคงสนับสนุนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมนโยบายการเงินเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งปัจจุบันผลสำรวจนักวิเคราะห์ให้น้ำหนักการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 80% ประกอบกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตต่อเนื่องเช่นกัน และที่สำคัญการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ที่มีโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน จากเดิมที่ไม่ค่อยมีนโยบายลงทุนในลักษณะดังกล่าว อีกทั้งการนำนโยบายการลดภาษีบริษัทจดทะเบียนเพื่อกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนภายในประเทศและจูงใจบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯ ให้กลับมาลงทุนภายในประเทศ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นอย่างดี และเม็ดเงินไหลกลับสู่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ขณะที่เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรโซนมีแนวโน้มทรงตัว ภาวะเงินเฟ้อยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จะได้รับการขยายเวลาออกไปจากเดิมที่สิ้นสุดในเดือน มี.ค. 60 ด้านตลาดหุ้นยุโรป ภาพการลงทุนยังอยู่ในระดับทรงตัว เนื่องจากปีหน้ายูโรโซนยังต้องเผชิญกับปัญหาภายในกลุ่มประเทศสมาชิกด้วยกัน ทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะการลงประชามติรัฐธรรมนูญของอิตาลีในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลสถานะของสมาชิกภาพในสหภาพยุโรปในอนาคต รวมไปถึงกระบวนการนำประเทศอังกฤษออกจากกลุ่มสมาชิกภาพยูโรโซนหลังศาสอังกฤษมีมติให้ต้องนำแผนการดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาก่อน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวทำให้ขั้นตอนการออกจากสมาชิกภาพมีความล่าช้ากว่าที่เคยวางแผนไว้ในช่วงก่อน (เดือน มี.ค. 60)
สำหรับเศรษฐกิจเอเชีย ผมเริ่มต้นที่เศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าตัวเลขยังอ่อนแอแต่พัฒนาการดีขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคการผลิต ขณะที่อุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนยังคงอ่อนแอจากภาคการส่งออกที่ซบเซา แต่ก็เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามการขยายตัวของกิจกรรมการผลิตและแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทั้งธนาคารกลางและรัฐบาล ในส่วนของภาคการลงทุน ผมมองว่าตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ภายใต้สมมติฐานว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คาดและส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นซึ่งส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงโดยเปรียบเทียบ ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออกที่สัดส่วนขนาดใหญ่ของตลาดหุ้นยุโรป ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่องของทางการ
ประเทศจีน โดยรวมเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้นจากแรงหนุนของการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร แม้ว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมจะชะลอตัว แต่ยอดระดับทุนโดยรวมสุทธิยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดหุ้นจีน ยังคงได้รับผลดีจากโครงการเชื่อมโยงหุ้นเซินเจิ้น-ฮ่องกง ซึ่งจะทำให้กระบวนการซื้อขายระหว่างตลาดหุ้นมีความสะดวกและคล่องตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของจีนก็เริ่มฟื้นตัวแบบมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อนไปตามแผนมาตรการนโยบายการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลาเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบโครงสร้างเศรษฐกิจแต่ก็ยังคงต้องติดตามผลกระทบทางเศรษฐกิจของนโยบายสหรัฐฯ โดยเฉพาะนโยบายทางการค้าต่อจีนอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับตลาดหุ้นในแถบอาเซียน ความกังวลเรื่องการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคอาเซียน ผมมองว่าไม่ได้มุ่งเน้นมายังประเทศกลุ่มอาเซียน รวมทั้งปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของเอเชีย โดยเฉพาะอาเซียนส่วนใหญ่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี ในส่วนของ ตลาดหุ้นไทย ปีหน้าประเมินกรอบเป้าหมายของดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,680 จุด ภายใต้สมมติฐานว่าทิศทางที่ดีขึ้นของดัชนีจะต้องสอดคล้องไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบที่สามารถดำเนินตามแผนที่ทางภาครัฐกำหนดไว้ รวมทั้งการดำเนินมาตรการอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำที่ 1.50% ต่อปี ซึ่งระดับอัตราดอกเบี้ยที่เอื้อต่อภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยมีโอกาสปรับลดลงได้อีก 0.25% มาที่ 1.25% หากเศรษฐกิจฟื้นตัวต่ำกว่าคาด