บลจ.ซีไอเอ็มบีออกกองทุนผสม รับจังหวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เน้นกระจายลงทุนบอนด์ อสังหาฯ ชูผลตอบแทนสูง
นายวิน พรหมแพทย์ CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์ของอัตราดอกเบี้ยไทยที่ต่ำ และน่าจะอยู่ในระดับนี้ต่อไปจนถึงปลายปีนี้หรือจนถึงปีหน้า และยังไม่มีแนวโน้มที่ กนง.จะปรับตัวลงอีกถ้าไม่เกิดสถานการณ์ที่รุนแรง ดังนั้นเงินลงทุนจึงเข้าลงทุนในตราสารหนี้ที่ยาวขึ้นและมีความเสี่ยงขึ้นเพื่อรับผลตอบแทนที่ดี รวมทั้งลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อินฟรารีทส์มากขึ้น ซึ่งหุ้นอสังหาฯ ของไทยในตอนนี้ราคาค่อนข้างแพง
โดย บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลเปิดตัว “กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล สตราทีจิค อินคัม CIMB-Principal Strategic Income Fund (CIMB-PRINCIPAL SIF)” มูลค่ากองทุน 3,000 ล้านบาท เปิดเสนอขายในระหว่างวันที่ 11-18 พฤษภาคม 2559 โดยการใช้กลยุทธ์การจัดสรรพอร์ตการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน ในระยะแรกจะผสมผสานการลงทุนใน “ตราสารหนี้” ที่มีความมั่นคง กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือรีทส์ คุณภาพดีและมีรายได้ประจำสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่ต้องการพอร์ตที่สร้างรายได้ประจำที่สูงกว่ากองทุนตราสารหนี้แต่มีความผันผวนต่ำ โดยผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมและมีการกระจายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในตราสารหนี้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กอง Real Estate Investment Trust (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โดยคาดว่ากองทุนจะสร้างผลตอบแทนอยู่ที่ 3.5-4.5%
ทั้งนี้ ความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกส่งให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมุมมองผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่เกิน 1-2 ครั้งในปีนี้ และคาดว่าน่าจะชะลอไปปรับดอกเบี้ยช่วงปลายปี ในขณะที่ภูมิภาคยุโรปและญี่ปุ่นยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน QE เพิ่มเติม รวมถึงอัตราดอกเบี้ยไทยที่ยังมีแนวโน้มคงที่อยู่ในระดับ 1.50% ต่อปี และคาดว่าจะทรงตัวอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้ความต้องการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และ REITs ของนักลงทุนสถาบันมีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีผลตอบแทนที่ดีในขณะที่มีความผันผวนโดยรวมค่อนข้างต่ำ หากเทียบอัตราเงินปันผล (ต่อปี) ของแต่ละสินทรัพย์จะพบว่าอัตราเงินปันผลของ REITs สิงคโปร์อยู่ที่ประมาณ 6.4% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยอยู่ที่ 6.1% หุ้นไทย 3.6% พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี 2.6% และเงินฝากประจำ 1 ปี 1.5%”
“บลจ.ซีไอเอ็มบียังแนะนำการลงทุนในกองทุนซิลเวอร์เอจ และกองทุนประเภทอินฟรา โดยปัจจัยเสี่ยงที่น่าห่วงตอนนี้คือเรื่องเศรษฐกิจจีนในเรื่องหนี้สินของภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากเกิดปัญหาขึ้นมาอาจจะกระทบต่อเนื่องและกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชียด้วย ส่วนดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ระดับ 1,500 จุด หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจยังเป็นกลุ่มก่อสร้าง โรงพยาบาล”
นายวิน พรหมแพทย์ CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์ของอัตราดอกเบี้ยไทยที่ต่ำ และน่าจะอยู่ในระดับนี้ต่อไปจนถึงปลายปีนี้หรือจนถึงปีหน้า และยังไม่มีแนวโน้มที่ กนง.จะปรับตัวลงอีกถ้าไม่เกิดสถานการณ์ที่รุนแรง ดังนั้นเงินลงทุนจึงเข้าลงทุนในตราสารหนี้ที่ยาวขึ้นและมีความเสี่ยงขึ้นเพื่อรับผลตอบแทนที่ดี รวมทั้งลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อินฟรารีทส์มากขึ้น ซึ่งหุ้นอสังหาฯ ของไทยในตอนนี้ราคาค่อนข้างแพง
โดย บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลเปิดตัว “กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล สตราทีจิค อินคัม CIMB-Principal Strategic Income Fund (CIMB-PRINCIPAL SIF)” มูลค่ากองทุน 3,000 ล้านบาท เปิดเสนอขายในระหว่างวันที่ 11-18 พฤษภาคม 2559 โดยการใช้กลยุทธ์การจัดสรรพอร์ตการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน ในระยะแรกจะผสมผสานการลงทุนใน “ตราสารหนี้” ที่มีความมั่นคง กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือรีทส์ คุณภาพดีและมีรายได้ประจำสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่ต้องการพอร์ตที่สร้างรายได้ประจำที่สูงกว่ากองทุนตราสารหนี้แต่มีความผันผวนต่ำ โดยผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมและมีการกระจายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในตราสารหนี้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กอง Real Estate Investment Trust (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โดยคาดว่ากองทุนจะสร้างผลตอบแทนอยู่ที่ 3.5-4.5%
ทั้งนี้ ความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกส่งให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมุมมองผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่เกิน 1-2 ครั้งในปีนี้ และคาดว่าน่าจะชะลอไปปรับดอกเบี้ยช่วงปลายปี ในขณะที่ภูมิภาคยุโรปและญี่ปุ่นยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน QE เพิ่มเติม รวมถึงอัตราดอกเบี้ยไทยที่ยังมีแนวโน้มคงที่อยู่ในระดับ 1.50% ต่อปี และคาดว่าจะทรงตัวอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้ความต้องการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และ REITs ของนักลงทุนสถาบันมีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีผลตอบแทนที่ดีในขณะที่มีความผันผวนโดยรวมค่อนข้างต่ำ หากเทียบอัตราเงินปันผล (ต่อปี) ของแต่ละสินทรัพย์จะพบว่าอัตราเงินปันผลของ REITs สิงคโปร์อยู่ที่ประมาณ 6.4% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยอยู่ที่ 6.1% หุ้นไทย 3.6% พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี 2.6% และเงินฝากประจำ 1 ปี 1.5%”
“บลจ.ซีไอเอ็มบียังแนะนำการลงทุนในกองทุนซิลเวอร์เอจ และกองทุนประเภทอินฟรา โดยปัจจัยเสี่ยงที่น่าห่วงตอนนี้คือเรื่องเศรษฐกิจจีนในเรื่องหนี้สินของภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากเกิดปัญหาขึ้นมาอาจจะกระทบต่อเนื่องและกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชียด้วย ส่วนดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ระดับ 1,500 จุด หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจยังเป็นกลุ่มก่อสร้าง โรงพยาบาล”