xs
xsm
sm
md
lg

4 ปัจจัยกระทบภาวะการลงทุนทั่วโลก MFC คาดหุ้นไทยปีนี้แตะ 1,445 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พัณณรัชต์ บรรพโต
บลจ.เอ็มเอฟซีประเมินภาพการลงทุนทั่วโลก มอง 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจจีน ราคาน้ำมัน การดำเนินนโยบายของเฟด รวมไปถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ กระทบการลงทุน พร้อมมองดัชนีหุ้นไทยปีนี้แตะ 1,445 จุด แนะจับตาการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรัฐ

นางพัณณรัชต์ บรรพโต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายบริหารกองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนปี 2559 ยังคงเป็นปีที่มีความท้าทายไม่น้อยไปกว่าปี 2558 ที่ภาวะการลงทุนโดยรวมมีความผันผวนอย่างมาก ทั้งๆ ที่สภาพคล่องในระบบการเงินของโลกยังคงสูงอยู่ ซึ่งคาดว่าส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

สำหรับปัจจัยที่กดดันภาวะการลงทุนมี 4 เรื่องหลักซึ่งเป็นปัจจัยเดิมๆ ที่นักลงทุนรับรู้ไปบ้างแล้วในปี 2558 ได้แก่ การที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวจากมาตรการปฏิรูปโครงสร้ างทางเศรษฐกิจที่ปรับเปลี่ยนจากการพึ่งพาการส่งออกมาเป็นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งส่งผลต่อกิจกรรมทางการค้าของโลกโดยรวมลดปริมาณลง กระทบต่อภาคการผลิต (Manufacturing) ของประเทศต่างๆ ชะลอตัวลง

การที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ส่งผลกระทบให้อัตราเงินเฟ้อติดลบและอาจเข้าสู่ภาวะเงินฝืด และราคาสินค้าโภคภัณฑ์และสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ฯลฯ อยู่ในระดับต่ำตามไปด้วย นอกจากนี้ยังส่งผลให้บริษัทและหรือประเทศผู้ผลิตและส่งออกที่มีรายได้หลักจากน้ำมันประสบปัญหาในด้านรายได้และส่งผลให้เพิ่มโอกาสการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ผลิตน้ำมัน และลุกลามไปยังผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยกู้ให้บริษัทเหล่านั้นอีกด้วย

ขณะเดียวกัน การที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Fed) ดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างจากธนาคารกลางประเทศหลักอื่นๆ ในโลก กล่าวคือ Fed กำลังอยู่ในช่วงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินลง ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่นกำลังผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มขึ้น โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเป็นติดลบ การดำเนินนโยบายการเงินที่สวนทางกันเช่นนี้ก่อให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศเกิดใหม่กลับไปยังสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ หาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไป หรือดำเนินนโยบายการเงินผิดพลาด (Policy Mistake) อาจเพิ่มโอกาสที่โลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ นอกจานี้ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ซึ่งเป็นปัจจัยรองกระทบภาวะการลงทุนเพียงชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม บลจ.เอ็มเอฟซีคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในระดับต่ำใกล้เคียงกับปี 2558 แต่ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1-2 ครั้งในปี 2559 และเศรษฐกิจจีนไม่เกิด Hard Landing และเติบโตในอัตราชะลอตัวลงที่ระดับ 6.5% รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันขึ้นอยู่กับการเข้าสู่สมดุลของ Demand และ Supply เร็วแค่ไหน โดยเราคาดว่า Supply ส่วนเกินจะทยอยลดลงจากผู้ผลิตลดการลงทุน และจะปรับลดการผลิตในส่วนที่ไม่คุ้มทุนลง และอาจมีผู้ผลิตบางรายล้มละลายไปบางส่วน รวมถึง Demand จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นและจะเข้าสู่จุดสมดุลประมาณปลายปี 2559 คาดว่าราคาน้ำมันสิ้นปีน่าจะอยู่ที่ระดับ 41 เหรียญต่อบาร์เรล

สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้นจะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกับปี 2558 โดยเราเพิ่งปรับประมาณการ GDP จาก 3.2% เป็น 2.8% และเงินเฟ้อปรับลดลงจาก 1.1% เป็น 0.6% เหตุผลที่ปรับลดลงเนื่องจากคาดว่าในปี 2559 การส่งออกจะยังคงไม่ขยายตัวหรือมีโอกาสหดตัวเล็กน้อย หลังตัวเลขส่งออกในเดือนมกราคม 2559 ออกมาติดลบมากกว่า 8% ซึ่งราคาน้ำมันอยู่ในระดับ 30-40 เหรียญต่อบาร์เรล และความล่าช้าในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐ
ชาคริต พืชพันธ์
นายชาคริต พืชพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายตราสารทุน สายบริหารกองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นต่างประเทศยังให้ผลตอบแทนในระดับประมาณ 5-7% โดยเรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นประเทศที่พัฒนาแล้วมากกว่าประเทศเกิดใหม่ และชอบประเทศที่ยังมีการดำเนินนโยบายการเงินและหรือนโยบายการคลังที่ผ่อนคลายมากกว่า ส่วนหุ้นไทยถึงแม้จะมีความผันผวนเช่นเดียวกับหุ้นต่างประเทศแต่น่าจะมีผลตอบแทนที่สูงกว่า ทั้งนี้เรามองว่า SET Index สิ้นปีจะอยู่ที่ 1,445 จุด หรือมี Upside จากสิ้นปีที่แล้วประมาณ 12%

ทั้งนี้ เนื่องจากในสองปีที่ผ่านมาต่างชาติได้ขายหุ้นไทยออกไปมากแล้ว ระดับการถือครองหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงไม่น่าจะเห็นการปรับประมาณการลงของกำไรบริษัทจดทะเบียนมากเหมือนปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่กลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันมีการปรับประมาณการลงหลายรอบ ขณะเดียวกันหากรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมโอกาสที่ดัชนี SET Index จะปรับเพิ่มขึ้นมีสูงกว่าโอกาสที่จะปรับลดลง

“เรามองว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวในระดับ 4.8% ที่ 96 จุด และที่ P/E 15 เท่า คาดว่า SET Index จะอยู่ที่ 1,445 จุด Worst Case P/E 12 เท่า ระดับ SET Index ที่ 1,100 จุด และ Best Case P/E 16.5 เท่า ที่ 1,584 จุด”

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เอ็มเอฟซีจะเน้น 3 ธีมหลัก คือ หุ้นกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลสูง กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว นอกจากนี้จะเพิ่มการลงทุนในบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่มี Valuation ที่ถูก เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มี Price per book value (P/BV) ในระดับต่ำใกล้เคียงกับปี 2008

อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 ที่นักลงทุนทั่วโลกกลัวความเสี่ยงมากเกินไปและราคาของสินทรัพย์เสี่ยงมีราคาถูกโดยเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต เรายังคงแนะนำให้นักลงทุนมีการลงทุนในหุ้น โดยเน้นหุ้นไทยมากกว่าหุ้นต่างประเทศ และแนะนำให้เพิ่มการลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเนื่องจากมีผลตอบแทนจากรายได้ค่าเช่าในอัตราที่สูงประมาณ 5-7% ซึ่งน่าสนใจกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนในระดับต่ำกว่า 2%

นอกจากนี้เรายังแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตโดยกระจายน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อย่างเหมาะสมเพื่อลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ตลง และติดตามสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด


กำลังโหลดความคิดเห็น