xs
xsm
sm
md
lg

คาด ECB อัดฉีด QE ต่อเพิ่มความน่าสนใจให้หุ้นยุโรป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

รูปประกอบจากเอเอฟพี
บลจ.กสิกรไทยคาดการณ์ ECB เตรียมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบอีก ซึ่งจะส่งผลดีต่อทิศทางตลาดหุ้นยุโรปในปีหน้า พร้อมแนะทยอยลงทุนกองทุน K-EUROPE รับโอกาสดีในอนาคต

นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ผลกระทบหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในกรุงปารีสในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นยุโรปในภาพรวมได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัด โดยระยะสั้นเป็นผลกระทบเชิงจิตวิทยาเท่านั้น แต่ในระยะยาวคาดว่าจะไม่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของยุโรปโดยรวม

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเคยเผชิญกับเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้มาแล้วหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์ 9/11 เหตุระเบิดในลอนดอนเมื่อปี 2005 และสเปนในปี 2004 แต่ตลาดหุ้นก็ปรับตัวลดลงเพียงในระยะสั้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องรอดูท่าทีของรัฐบาลฝรั่งเศส และควรติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องด้วยเช่นเดียวกัน

ด้านสถานการณ์ตลาดหุ้นยุโรปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปิดตลาดบวกได้เป็นส่วนใหญ่ โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับขึ้น 0.2% ปิดที่ 381.79 จุด เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากกรณีธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนว่าอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ตอบรับเชิงบวกต่อกรณีข่าวของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ได้เตรียมพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อทิศทางตลาดหุ้นยุโรปในปี 2559 ให้สามารถเติบโตได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายนาวิน กล่าวต่อว่า บลจ.กสิกรไทยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจยุโรปในระยะยาว โดยคาดว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งปัจจัยบวกมาจากการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของ ECB และการคงดอกเบี้ยในระดับต่ำที่จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยุโรปจะสามารถขยายตัวได้ 1.6% ในปี 2559

นอกจากนี้ หาก ECB มีการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือ QE เพิ่มเติมตามที่คาด จะยิ่งส่งผลดีต่อตลาดหุ้นยุโรปและเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ตั้งไว้อยู่ที่ระดับ 2% รวมถึงจะส่งผลทำให้ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งออก

อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 คาดว่าตลาดหุ้นยุโรปจะยังมีความผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่องด้วย จากปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอน เช่น การทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในปีหน้า สถานการณ์การเมืองและปัญหาความขัดแย้งในหลายภูมิภาค การชะลอตัวทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ที่อ่อนแอของจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของยุโรป

ดังนั้น สำหรับผู้ลงทุนระยะสั้นควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ส่วนนักลงทุนระยะยาวอาจอาศัยจังหวะที่หุ้นปรับฐานลงมาแรงเพื่อเข้าซื้อเพิ่มเติมได้เพื่อรับโอกาสเติบโตของผลกำไรจากหุ้นยุโรปในระยะยาว หรือสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนซึ่งมีประสบการณ์และเข้าใจหลักทรัพย์ที่ลงทุน มาช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนให้เราเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมากนี้

ปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทยมีกองทุน K-EUROPE ที่เน้นลงทุนในหุ้นยุโรป โดยจะลงทุนผ่านกองทุนหลัก Allianz Europe Equity Growth, Class AT-EUR ซึ่งบริหารจัดการโดยบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในกรุงปารีส แม้ว่าปัจจุบันกองทุนจะมีสัดส่วนลงทุนในหุ้นฝรั่งเศสอยู่ประมาณ 16% และอาจมีผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและการบริโภค แต่เนื่องจากกองทุน K-EUROPE ส่วนใหญ่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มไอทีและอุตสาหกรรมเป็นหลัก และมีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพียง 1% เท่านั้น จึงได้รับผลกระทบจำกัด

อย่างไรก็ตาม ทางผู้จัดการกองทุนหลักยังคงไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนแต่อย่างใด เพราะมองว่าในระยะยาวยังไม่มีผลกระทบเชิงลบจากสถานการณ์ดังกล่าว

สำหรับสไตล์การลงทุนของกองทุนหลักที่เน้นพอร์ตการลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 3-5 ปีขึ้นไป โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่มีอัตราการเติบโตสูงและมีรายได้หลักมาจากนอกภูมิภาคยุโรป โดยผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูง เช่น พิจารณาจากความได้เปรียบด้านการแข่งขัน งบการเงินที่แข็งแกร่ง ความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี รวมถึงพิจารณาถึงมูลค่าหุ้นในระดับที่น่าสนใจด้วย

ทั้งนี้ กองทุน K-EUROPE สามารถสร้างผลการดำเนินงานย้อนหลังที่ดีและเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -0.09% เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ -2.57% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 20.48% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 16.28% และตั้งแต่ต้นปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 18.06% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 16.40%

ขณะที่กองทุนมีประวัติการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งหมด 7 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1.50 บาทต่อหน่วย



กำลังโหลดความคิดเห็น