ทิสโก้ออก “เยอรมัน ทริกเกอร์ 8%” ชี้หุ้นเยอรมนียังถูก รับอานิสงส์ยุโรปทำ QE เพิ่ม คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยส่งยูโรอ่อนค่า หนุนส่งออกเยอรมนี
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า บลจ.ทิสโก้เปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%#5 ซึ่งเป็นกองทริกเกอร์ฟันด์หุ้นเยอรมนีกองที่ 5 เป้าหมายเลิกโครงการ 8% เสนอขายครั้งแรก 9-14 ก.ย. 58 โดยเศรษฐกิจยุโรปโดยรวมยังเติบโตดี โดยมีปัจจัยเร่งจากการทํา QE เพิ่ม ล่าสุดธนาคารกลางยุโรปมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.05% พร้อมประกาศปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำ QE โดยเพิ่มเพดานการเข้าซื้อพันธบัตรที่ออกในแต่ละรุ่นจากเดิมไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 33% โดยจะเข้าซื้อพันธบัตรจํานวน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ไปจนถึงเดือน ก.ย. 59 และเพิ่ม QE ได้หากมีความจำเป็น
ขณะเดียวกันเยอรมนียังมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงแข็งแรงที่สุดในยุโรป ล่าสุดตัวเลข PMI ของเยอรมนีเดือน ส.ค.ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 53 จุด ถือว่าสูงสุดในรอบ 16 เดือน คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่อาจจะขึ้นอีก 1 ครั้งในปีนี้จะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกำไรของบริษัทส่งออก ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นเยอรมนีที่มีสัดส่วนยอดขายจากนอกประเทศถึงมากกว่า 80% อีกทั้งตลาดหุ้นเยอรมนีไม่มีสัดส่วนของบริษัทในกลุ่มพลังงาน จึงไม่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน นอกจากนี้ Valuation ตลาดหุ้นเยอรมนีก็ยังดูน่าสนใจ โดยซื้อขายที่ Forward P/E ที่ 11-12 เท่า โดยมี Discount จาก STOXX600 อยู่ราว 16% ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นทิสโก้จึงยังคงแนะนำให้ overweight ตลาดหุ้นเยอรมนี
ทั้งนี้ กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%#5 จะเน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำของโลกที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเยอรมนี (DAX) เช่น Bayer, Daimler, Siemens, Allianz, SAP, Deutsche Bank และ Volkswagen ผ่านกองทุนหลักคือ db x-trackers DAX UCITS ETF (DR) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์เยอรมนี (DAX) โดยมีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 8% ภายในระยะเวลา 8 เดือน หรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนซื้อขายสับเปลี่ยนได้ทุกวันทำการ ซึ่งการกำหนดเป้าหมายดังกล่าวไม่ใช่ประมาณการหรือการรับประกันผลตอบแทนว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายเมื่อเลิกกองทุน นอกจากนี้ กองทุนยังมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ประมาณ 90% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินยูโรอีกด้วย