บลจ.ทิสโก้มองหุ้นญี่ปุ่น เยอรมนี จีน ยังมีอัปไซด์การเติบโตอีกในปีนี้จากปัจจัยบวกเงินยูโรและเงินเยนที่อ่อนค่าลง และจากมาตรการของรัฐบาลจีน เผยยังมองหาจังหวะออกทริกเกอร์ต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ คาดการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ ทำตลาดหุ้นลงในช่วงสั้น
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุนทิสโก้ เปิดเผยว่า การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ น่าจะขึ้นในช่วงปีนี้ ซึ่งหลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้วจะทำให้ตราสารหนี้ระยะสั้นมีผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของตราสารหนี้ระยะยาวจะปรับลดลงเนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ระดับต่ำ
ขณะเดียวกัน จะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงในช่วง 1-3 เดือน และจะปรับตัวขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยน่าจะขึ้นอย่างช้าๆ และเป็นปัจจัยบวกจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนักเพราะตลาดรับรู้การขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในครั้งนี้จะเป็นสัญญาณบอกว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นไม่ต้องพึ่งการกระตุ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม หากขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และอาจจะกระทบต่อการส่งออกและตลาดหุ้น
ทั้งนี้ การลงทุนในครึ่งหลังของปี 2558 ยังคงให้น้ำหนักกับการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมนี และจีน เพราะมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจเนื่องจากยังซื้อขายกันที่ P/E ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต (+0.2 S.D.) ในขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และคาดการณ์การเติบโตของกำไรอยู่ที่ 15.5% ในปี 2015 โดยนักวิเคราะห์มีการปรับเพิ่มประมาณการผลกำไรขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงแนวโน้มการจ่ายปันผลที่สูงขึ้น การซื้อหุ้นคืน และสนับสนุนการขยายตัวของ ROE
ขณะที่ตลาดหุ้นเยอรมนี มองว่าราคาหุ้น DAX ยังไม่แพงและมีอัปไซด์ประมาณ 10-15% ในปีนี้ โดยได้รับปัจจัยบวกจากเงินยูโรที่อ่อนค่าและราคาน้ำมันที่ลดลง ขณะที่การเติบโตของกำไร บจ.สูงกว่า 10% รวมถึงการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้การค้าโลกชะลอตัว และการอ่อนค่าของยูโรช่วยสนับสนุนผลกำไรของบริษัทส่งออก
ส่วนตลาดหุ้นจีน แม้ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาอย่างแรงทำให้หุ้นมีราคาที่ถูกลง และเป็นโอกาสที่น่าลงทุน ซึ่งมองว่าตลาดหุ้นจีน H-Share ยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่แต่อย่างใด แต่หากเป็นในตลาด A-share มีหุ้นบางตัวที่อาจเป็นฟองสบู่ได้เพราะมีการซื้อขายในระดับราคาที่สูงมาก โดยปัจจุบันค่า P/E ของตลาด H-Share อยู่ที่ 8 เท่า ตลาดยังมีอัปไซด์ประมาณ 20% ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรวมถึงความคืบหน้าของการปฏิรูปที่มีแนวโน้มชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีจากมาตรการผ่อนคลายสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาตั้งแต่ต้นปี เชื่อว่าจีนยังมีเครื่องมือทางนโยบายที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เช่น การจัดการหนี้ในภาคธนาคารเงา การเปิดเสรีทางการเงิน การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรเงินทุนผ่านกลไกตลาด และกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือนผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และการลดเงินดาวน์ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคการลงทุน จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้เศรษฐกิจจีนในระยะยาว
สำหรับหุ้นไทยมองว่า ราคาหุ้นที่ลดลงมาในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ถูกแล้ว อาจจะปรับลดลงได้อีกไม่มาก ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังไม่ชัดเจนว่าจะลดลงถึงระดับไหนโดยเฉพาะในกลุ่มแบงก์ ซึ่งหากครึ่งปีหลังมีปัจจัยบวกจากภาคการส่งออกและการลงทุนจากรัฐบาลเข้ามาก็อาจทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้ โดยยังมองดัชนีหุ้นในปลายปีนี้ที่ระดับ 1,600 จุด
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ถือเป็นจุดเด่นซึ่งเป็นการลงทุนที่ใช้การจับจังหวะตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่ผ่านมาเราออกทริกเกอร์ฟันด์ครอบคลุมตลาดหุ้นในหลายภูมิภาค เช่น กองทริกเกอร์หุ้นจีน ญี่ปุ่น เยอรมนี เอเชียเหนือ อินเดีย รวมถึงหุ้นไทยหากมีจังหวะที่น่าลงทุน ไปถึงการลงทุนทางเลือกอย่าง กองทริกเกอร์น้ำมัน ซึ่งก็ยังมองหาจังหวะที่จะออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ต่อเนื่องหากราคาหุ้นมีความน่าสนใจ ในครึ่งปีหลังยังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมนี และจีน โดยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนที่มีความหลากหลายมากขึ้น รวมถึงแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นโลกในหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ในครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) อยู่ที่ 180,000 ล้านบาททะลุที่ตั้งเป้าในปีนี้ คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะเติบโตอีกเล็กน้อยจากต้นปี
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุนทิสโก้ เปิดเผยว่า การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ น่าจะขึ้นในช่วงปีนี้ ซึ่งหลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้วจะทำให้ตราสารหนี้ระยะสั้นมีผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของตราสารหนี้ระยะยาวจะปรับลดลงเนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ระดับต่ำ
ขณะเดียวกัน จะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงในช่วง 1-3 เดือน และจะปรับตัวขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยน่าจะขึ้นอย่างช้าๆ และเป็นปัจจัยบวกจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนักเพราะตลาดรับรู้การขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในครั้งนี้จะเป็นสัญญาณบอกว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นไม่ต้องพึ่งการกระตุ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม หากขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และอาจจะกระทบต่อการส่งออกและตลาดหุ้น
ทั้งนี้ การลงทุนในครึ่งหลังของปี 2558 ยังคงให้น้ำหนักกับการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมนี และจีน เพราะมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจเนื่องจากยังซื้อขายกันที่ P/E ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต (+0.2 S.D.) ในขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และคาดการณ์การเติบโตของกำไรอยู่ที่ 15.5% ในปี 2015 โดยนักวิเคราะห์มีการปรับเพิ่มประมาณการผลกำไรขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงแนวโน้มการจ่ายปันผลที่สูงขึ้น การซื้อหุ้นคืน และสนับสนุนการขยายตัวของ ROE
ขณะที่ตลาดหุ้นเยอรมนี มองว่าราคาหุ้น DAX ยังไม่แพงและมีอัปไซด์ประมาณ 10-15% ในปีนี้ โดยได้รับปัจจัยบวกจากเงินยูโรที่อ่อนค่าและราคาน้ำมันที่ลดลง ขณะที่การเติบโตของกำไร บจ.สูงกว่า 10% รวมถึงการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้การค้าโลกชะลอตัว และการอ่อนค่าของยูโรช่วยสนับสนุนผลกำไรของบริษัทส่งออก
ส่วนตลาดหุ้นจีน แม้ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาอย่างแรงทำให้หุ้นมีราคาที่ถูกลง และเป็นโอกาสที่น่าลงทุน ซึ่งมองว่าตลาดหุ้นจีน H-Share ยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่แต่อย่างใด แต่หากเป็นในตลาด A-share มีหุ้นบางตัวที่อาจเป็นฟองสบู่ได้เพราะมีการซื้อขายในระดับราคาที่สูงมาก โดยปัจจุบันค่า P/E ของตลาด H-Share อยู่ที่ 8 เท่า ตลาดยังมีอัปไซด์ประมาณ 20% ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรวมถึงความคืบหน้าของการปฏิรูปที่มีแนวโน้มชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีจากมาตรการผ่อนคลายสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาตั้งแต่ต้นปี เชื่อว่าจีนยังมีเครื่องมือทางนโยบายที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เช่น การจัดการหนี้ในภาคธนาคารเงา การเปิดเสรีทางการเงิน การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรเงินทุนผ่านกลไกตลาด และกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือนผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และการลดเงินดาวน์ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคการลงทุน จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้เศรษฐกิจจีนในระยะยาว
สำหรับหุ้นไทยมองว่า ราคาหุ้นที่ลดลงมาในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ถูกแล้ว อาจจะปรับลดลงได้อีกไม่มาก ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังไม่ชัดเจนว่าจะลดลงถึงระดับไหนโดยเฉพาะในกลุ่มแบงก์ ซึ่งหากครึ่งปีหลังมีปัจจัยบวกจากภาคการส่งออกและการลงทุนจากรัฐบาลเข้ามาก็อาจทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้ โดยยังมองดัชนีหุ้นในปลายปีนี้ที่ระดับ 1,600 จุด
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ถือเป็นจุดเด่นซึ่งเป็นการลงทุนที่ใช้การจับจังหวะตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่ผ่านมาเราออกทริกเกอร์ฟันด์ครอบคลุมตลาดหุ้นในหลายภูมิภาค เช่น กองทริกเกอร์หุ้นจีน ญี่ปุ่น เยอรมนี เอเชียเหนือ อินเดีย รวมถึงหุ้นไทยหากมีจังหวะที่น่าลงทุน ไปถึงการลงทุนทางเลือกอย่าง กองทริกเกอร์น้ำมัน ซึ่งก็ยังมองหาจังหวะที่จะออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ต่อเนื่องหากราคาหุ้นมีความน่าสนใจ ในครึ่งปีหลังยังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมนี และจีน โดยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนที่มีความหลากหลายมากขึ้น รวมถึงแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นโลกในหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ในครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) อยู่ที่ 180,000 ล้านบาททะลุที่ตั้งเป้าในปีนี้ คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะเติบโตอีกเล็กน้อยจากต้นปี