ประกันสังคมระบุ 7 เดือนมีสินทรัพย์เติบโตแสนล้านบาท ยังเน้นการลงทุนในต่างประเทศ ชี้หุ้นไทยปรับตัวแต่จับตารอช้อนหุ้นถูก เผย เตรียมแผนเข้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
นายวิน พรหมแพทย์ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม และหัวหน้าการลงทุน สำนักบริหารการลงทุน สำนักงานประกันสังคม หรือ สปส. (SSO) เปิดเผยว่า มูลค่าเงินลงทุนของกองทุนประกันสังคมช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้เม็ดเงินลงทุนเติบโตขึ้นจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ 1.2 ล้านล้านบาท เป็น 1.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 58 กองทุนประกันสังคมจะมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้นที่ 1.3-1.4 ล้านล้านบาท
สำหรับช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้กองทุนยังคงสัดส่วนการลงทุนเดิม แบ่งเป็นสินทรัพย์มั่นคงประมาณ 79% สินทรัพย์เสี่ยง 21% แบ่งเป็นลงทุนในประเทศประมาณ 97% ต่างประเทศ 3% โดยแบ่งการลงทุนเป็นเงินฝากและตราสารหนี้ 88% คิดเป็นเงิน 1.16 ล้านล้านบาท ลงทุนในตราสารทุน 10% คิดเป็นเงินลงทุน 1.3 ล้านล้านบาท ที่เหลืออีก 2% ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์อื่นประมาณ 24,000 ล้านบาท โดยผลตอบแทนจากการลงทุนช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 22,879 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 58 กองทุนฯ สามารถทำผลตอบแทนทั้งปีเติบโตประมาณ 3.9-4.7% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 45,000 ล้านบาท
นายวิน กล่าวว่า ความผันผวนของหุ้นไทยในปีนี้ส่งผลให้กองทุนฯ มีแผนเพิ่มการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น หลังจากการลงทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากถึง 11% จากเม็ดเงินลงทุนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันที่ 4,000 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท
สำหรับเม็ดเงินลงทุนที่สามารถเพิ่มการลงทุนในหุ้นต่างประเทศรอบใหม่ได้มีประมาณ 2% คิดเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น 20,000 ล้านบาท โดยกลุ่มหลักทรัพย์ต่างประเทศจะอยู่ในแถบยุโรป ญี่ปุ่น และเอเชียเป็นหลัก ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้หุ้นญี่ปุ่นและยุโรปสามารถทำกำไรให้แก่กองทุนมากสุด
ส่วนแนวโน้มการลงทุนหุ้นไทยช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ยังคงมีเม็ดเงินที่สามารถเข้าไปลงทุนอีก 10,000-20,000 ล้านบาท โดยไม่สามารถระบุเม็ดเงินเข้าลงทุนในหุ้นไทยในแต่ละรอบได้ชัดเจน เนื่องจากขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจและภาวะตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก หากราคาหลักทรัพย์ที่ทางกองทุนฯ จับตามองไว้มีการปรับราคาลดลงมาในระดับที่ตั้งเป้าหมายไว้กองทุนก็สามารถเข้าลงทุนทันที
“ภาวะหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นจังหวะดีในการเก็บหลักทรัพย์เป้าหมายเข้าพอร์ต ช่วงที่ผ่านมากองทุนฯ มองไว้ไม่กี่กลุ่ม โดยตั้งราคาเป้าหมายไว้ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก ทำให้หุ้นดีๆ หลายตัวน่าสนใจ ทำให้กองทุนฯ มีโอกาสได้หุ้นที่ดีเข้าพอร์ตมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดีคือเป้าหมายหลัก” นายวินกล่าว
นายวิน กล่าวต่อว่า โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐถือเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่กองทุนประกันสังคมสนใจเพิ่มสัดส่วนการลงทุน สำหรับแนวทางการลงทุนดังกล่าว แบ่งเป็น 1.) กรณีที่รัฐบาลระดมเงินลงทุนโดยการออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อนำไปใช้ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ ซึ่งกองทุนฯ สามารถลงทุนในพันธบัตรดังกล่าวได้แบบไม่มีลิมิตเงินลงทุน 2.) กรณีรัฐบาลระดมทุนผ่านการเสนอขายกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนฯ สามารถดำเนินการได้ใน 2 ช่องทาง คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ปัจจุบันกองทุนฯ สามารถลงทุนได้อยู่แล้ว คาดหวังผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 6-9%
ด้านกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจุบัน ก.ล.ต.ได้อนุมัติให้สามารถจัดตั้งกองทรัสต์ประเภทนี้แล้ว และทางกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดตั้งกองทรัสต์ อย่างไรก็ตาม กองทุนฯ ยังไม่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์นี้ได้ และอยู่ระหว่างการแก้ไขระเบียบคณะกรรมการประกันสังคม พ.ศ. 2549 สำหรับเม็ดเงินลงทุนในสองส่วนหลังเตรียมเงินลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท
นายวิน พรหมแพทย์ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม และหัวหน้าการลงทุน สำนักบริหารการลงทุน สำนักงานประกันสังคม หรือ สปส. (SSO) เปิดเผยว่า มูลค่าเงินลงทุนของกองทุนประกันสังคมช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้เม็ดเงินลงทุนเติบโตขึ้นจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ 1.2 ล้านล้านบาท เป็น 1.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 58 กองทุนประกันสังคมจะมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้นที่ 1.3-1.4 ล้านล้านบาท
สำหรับช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้กองทุนยังคงสัดส่วนการลงทุนเดิม แบ่งเป็นสินทรัพย์มั่นคงประมาณ 79% สินทรัพย์เสี่ยง 21% แบ่งเป็นลงทุนในประเทศประมาณ 97% ต่างประเทศ 3% โดยแบ่งการลงทุนเป็นเงินฝากและตราสารหนี้ 88% คิดเป็นเงิน 1.16 ล้านล้านบาท ลงทุนในตราสารทุน 10% คิดเป็นเงินลงทุน 1.3 ล้านล้านบาท ที่เหลืออีก 2% ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์อื่นประมาณ 24,000 ล้านบาท โดยผลตอบแทนจากการลงทุนช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 22,879 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 58 กองทุนฯ สามารถทำผลตอบแทนทั้งปีเติบโตประมาณ 3.9-4.7% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 45,000 ล้านบาท
นายวิน กล่าวว่า ความผันผวนของหุ้นไทยในปีนี้ส่งผลให้กองทุนฯ มีแผนเพิ่มการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น หลังจากการลงทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากถึง 11% จากเม็ดเงินลงทุนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันที่ 4,000 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท
สำหรับเม็ดเงินลงทุนที่สามารถเพิ่มการลงทุนในหุ้นต่างประเทศรอบใหม่ได้มีประมาณ 2% คิดเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น 20,000 ล้านบาท โดยกลุ่มหลักทรัพย์ต่างประเทศจะอยู่ในแถบยุโรป ญี่ปุ่น และเอเชียเป็นหลัก ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้หุ้นญี่ปุ่นและยุโรปสามารถทำกำไรให้แก่กองทุนมากสุด
ส่วนแนวโน้มการลงทุนหุ้นไทยช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ยังคงมีเม็ดเงินที่สามารถเข้าไปลงทุนอีก 10,000-20,000 ล้านบาท โดยไม่สามารถระบุเม็ดเงินเข้าลงทุนในหุ้นไทยในแต่ละรอบได้ชัดเจน เนื่องจากขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจและภาวะตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก หากราคาหลักทรัพย์ที่ทางกองทุนฯ จับตามองไว้มีการปรับราคาลดลงมาในระดับที่ตั้งเป้าหมายไว้กองทุนก็สามารถเข้าลงทุนทันที
“ภาวะหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นจังหวะดีในการเก็บหลักทรัพย์เป้าหมายเข้าพอร์ต ช่วงที่ผ่านมากองทุนฯ มองไว้ไม่กี่กลุ่ม โดยตั้งราคาเป้าหมายไว้ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก ทำให้หุ้นดีๆ หลายตัวน่าสนใจ ทำให้กองทุนฯ มีโอกาสได้หุ้นที่ดีเข้าพอร์ตมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดีคือเป้าหมายหลัก” นายวินกล่าว
นายวิน กล่าวต่อว่า โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐถือเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่กองทุนประกันสังคมสนใจเพิ่มสัดส่วนการลงทุน สำหรับแนวทางการลงทุนดังกล่าว แบ่งเป็น 1.) กรณีที่รัฐบาลระดมเงินลงทุนโดยการออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อนำไปใช้ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ ซึ่งกองทุนฯ สามารถลงทุนในพันธบัตรดังกล่าวได้แบบไม่มีลิมิตเงินลงทุน 2.) กรณีรัฐบาลระดมทุนผ่านการเสนอขายกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนฯ สามารถดำเนินการได้ใน 2 ช่องทาง คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ปัจจุบันกองทุนฯ สามารถลงทุนได้อยู่แล้ว คาดหวังผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 6-9%
ด้านกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจุบัน ก.ล.ต.ได้อนุมัติให้สามารถจัดตั้งกองทรัสต์ประเภทนี้แล้ว และทางกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดตั้งกองทรัสต์ อย่างไรก็ตาม กองทุนฯ ยังไม่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์นี้ได้ และอยู่ระหว่างการแก้ไขระเบียบคณะกรรมการประกันสังคม พ.ศ. 2549 สำหรับเม็ดเงินลงทุนในสองส่วนหลังเตรียมเงินลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท
