xs
xsm
sm
md
lg

ก้าวออกนอกประเทศ เพื่อลดความเสี่ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บัวหลวง Money Tips
โดยปฐมินทร์ นาทีทอง
Product Development กองทุนบัวหลวง

เพื่อนๆ นักลงทุนทุกคนคงทราบดีว่า ปัจจุบันนี้เราเข้าสู่ยุคโลกไร้พรมแดนแล้ว เฉกเช่นการลงทุนในหุ้นที่ไร้พรมแดนตามไปด้วย หาได้จำกัดแค่ตลาดหุ้นไทยเท่านั้น

ตลอดครึ่งแรกของปี 2015 อันเป็นช่วงขณะที่คาดเดาทิศทางของหุ้นไทยได้อย่างยากลำบาก ทว่าตลาดหุ้นในบางภูมิภาคกลับทะยานขึ้นสวนทางอย่างเห็นได้ชัด เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2014 จนถึงกลางเดือนมิถุนายน 2015 ได้ปรับมูลค่าสูงถึง 42.69% (TOPIX, 1177.22-1679.98 จุด) หาใช่แค่เฉพาะภูมิภาคเท่านั้น แต่หากปรับมุมมองมาพิจารณาเป็นรายภาคอุตสาหกรรม ก็จะพบว่า healthcare ซึ่งเป็น super sector แห่งการลงทุนของทศวรรษนี้ก็เติบโตอย่างต่อเนื่องมาสักระยะหนึ่งแล้ว

ประจักษ์ชัดอย่างยิ่งว่า ห้วงขณะที่หุ้นไทยยังไร้ทิศทางตลอดครึ่งแรกของปี 2015 หากเพื่อนๆ นักลงทุนตัดสินใจปรับพอร์ตลงทุน โดยเลือกสรรภูมิภาคและกลุ่มอุตสาหกรรมได้อย่างถูกต้องและทันต่อเวลา ย่อมมีโอกาสที่ผลกำไรจากการลงทุนเข้าสู่บัญชีกองทุนของเราเอง

การลงทุนยังตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลกไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังถือเป็น “การกระจายความเสี่ยง” ให้เม็ดเงินลงทุนไม่กระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ประเภทเดียวอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากลงทุนเฉพาะในตลาดหุ้นของประทศใดประเทศหนึ่ง นักลงทุนย่อมต้องเผชิญความเสี่ยงด้านการเมือง (หรือความเสี่ยงอื่นๆ) อันเป็นลักษณะจำเพาะของประเทศนั้น จนอาจเป็นเหตุให้สูญเสียเงินลงทุนไปไม่น้อย

“อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตระกร้าใบเดียว” สุภาษิตประจำใจนักลงทุนบทนี้จึงเกิดขึ้น

การกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดความเสี่ยงที่คุกคามผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน เป็นผลดีต่อนักลงทุนอย่างปฏิเสธไม่ได้ ส่วนจะลดความเสี่ยงได้มากหรือน้อยนั้น อธิบายในทางทฤษฎีได้ด้วยค่า “สหสัมพันธ์” (correlation ในวิชาสถิตินั่นเอง) ระหว่างตลาดหุ้นทั้งสองตลาด หากค่า correlation ต่ำกว่า 1 แปลความได้ว่าตลาดหุ้นทั้งสองตลาดมิได้เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน หรือคู่ขนานกันแบบ 100% ดังนั้นแล้วการแบ่งเงินไปลงทุนยังสองตลาดดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงให้พอร์ตของท่านได้ ในกรณีนี้คือค่าสหสัมพันธ์ยิ่งต่ำยิ่งดีต่อการกระจายความเสี่ยง

ตารางต่อไปนี้เป็นตารางแสดงค่าสหสัมพันธ์รายเดือน ระหว่างตลาดหุ้นสำคัญในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา

ท่านจะเห็นว่าค่าสหสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นหลายตลาดอยู่ในระดับต่ำอย่างน่าพึงพอใจ การกระจายเงินลงทุนไปยังหลายภูมิภาคจะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกเฟ้นภูมิภาค/กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะไปลงทุน หรือเลือกลงทุนให้ถูกจังหวะเวลาเพื่อให้ได้ต้นทุนในราคาต่ำ เป็นงานที่ท้าทายนักลงทุนไม่ไช่เล่น ยังไม่รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินในสกุลเงินตราที่ต่างกันอีกด้วย

แต่เรื่องยากจะกลายเป็นง่ายขึ้น นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนโดยไม่ต้องกังวลถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคหรือแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งจังหวะการเข้าซื้อหุ้นแต่ละตัว หากลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่คอยติดตามและวิเคราะห์ตลาดโลก ว่าตลาดใดในภูมิภาคใดบ้างที่น่าสนใจ และน่าลงทุนในช่วงขณะนั้นจนควรเน้นน้ำหนักการลงทุนเพิ่มขึ้นอีก หรือภูมิภาคใดเข้าสู่ภาวะสุ่มเสี่ยงที่ควรหลบเลี่ยง และสำคัญที่สุดคือบริษัทไหนในตลาดนั้นๆ ที่ควรเลือกลงทุน รวมถึงหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม

การลงทุนดังกล่าวคือการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนต่างประเทศ (Foreign Investment Fund, FIF) ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกด้วยกลวิธีที่ต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นกองทุนที่ใช้วิธีเลือกเฟ้นหุ้นเป็นรายตัว หรือที่เราเรียกว่า Bottom-up ผู้จัดการกองทุนจะให้ความสำคัญต่อการคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตสูง และราคายังไม่สูงจนเกินไปนัก โดยคำนึงถึงภูมิภาคหรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรงด้วย หรืออาจเป็นกองทุน ETF ซึ่งผู้จัดการกองทุนมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนให้ใกล้กับดัชนีชี้วัด (Benchmark) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการลงทุนซื้อหุ้นทุกตัวในตลาด

การลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลกนั้น นักลงทุนย่อมได้รับประโยชน์ทั้งโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นที่กำลังเป็นดาวเด่นของโลก และยังช่วยกระจายความเสี่ยงของการลงทุนไปพร้อมๆ กัน


กำลังโหลดความคิดเห็น