บลจ.กสิกรไทย เผยครึ่งปีแรกธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโตลดลงเล็กน้อย ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลเติบโตขึ้น หลังบุกลูกค้ากลุ่มมหาวิทยาลัยมากขึ้น พร้อมเดินหน้าตั้งเป้าอันดับที่ 1 ในทั้ง 2 ธุรกิจนี้ต่อไป
นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ของ บลจ.กสิกรไทย เติบโตลดลงแม้จะมีนายจ้างใหม่เข้ามา อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงรุกในธุรกิจนี้ ซึ่งปัจจุบัน (ณ สิ้นเดือน พ.ค.) สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ที่ 134,420 ล้านบาท ลดลงจากปลายปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 144,113 หรือคิดเป็น -6.7% และตั้งเป้าว่าในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 154,000 ล้านบาท ซึ่งมีแผนที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ต่อไป ทั้งในเรื่องการสร้างผลตอบแทน และการให้บริการในเรื่องการลงทุนที่มีแบบ Pool Fund และแบบ employee's choice
ขณะที่กองทุนส่วนบุคคล (PF) ปัจจุบัน (ณ สิ้นเดือน พ.ค.) มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่ 78,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปลายปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 74,952 หรือคิดเป็น 4.6% ทั้งนี้ กองทุนส่วนบุคคลในส่วนที่เป็นนักลงทุนสถาบันนั้นมีรายใหม่เข้ามาเป็นประเภทสถาบันการเงินเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะมหาวิทยาลัย ส่วนนักลงทุนบุคคลรายใหญ่นั้นตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีแรกมานี้ยังคงรอดูสถานการณ์ของเศรษฐกิจ และการลงทุนอยู่ โดยต้องการออกไปลงทุนในตลาดต่างประเทศมากขึ้น
ส่วนเรื่องการคุ้มครองเงินฝากที่จะคุ้มครองเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาทปีหน้านั้น ในช่วงที่ผ่านมาที่เริ่มมีการกำหนดการเพดานคุ้มครองเงินฝากนั้น คนเริ่มมีการขยับเอาเงินไปลงทุนกันมากขึ้นแล้ว แต่ถ้าหากถึงกำหนดที่คุ้มครองได้เพียง 1 ล้านบาทแล้ว น่าจะเห็นเงินลงทุนลูกค้าปรับเปลี่ยนเอาเงินไปลงทุนมากขึ้นอีก
นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ก็ต่ำ แต่เชื่อว่าในส่วนธนาคารคงยังไม่ต้องการดึงเงินฝาก เพราะอัตราดอกเบี้ยแบงก์ก็ต่ำ และการปล่อยกู้ก็ไม่สูง ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารยังไม่ต้องการปล่อยกู้มากนัก เน้นเพียงในกลุ่มธุรกิจ SME บ้างเท่านั้น แต่หากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น และธนาคารขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ยังไม่กระทบกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เพราะผลตอบแทนปัจจุบันสูงกกว่าเงินฝากอยู่แล้ว
สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมองว่า อัตราดอกเบี้ยไม่น่าจะปรับลดลงอีกเพราะอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว โดยคาดการณ์จีดีพีในปีนี้อยู่ที่ 2.8% และมองดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,600 จุด แต่มีปัจจัยความผันผวนมาก มองแนวรับต่ำสุดอยู่ที่ 1,400 จุด ปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนตลาดหุ้น และความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะมาจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ และการผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนปัจจัยเสี่ยงคือ ภัยแล้งที่อาจกระทบจีดีพีประมาณ 0.3-0.4% และการส่งออกที่มองว่าอาจติดลบ 1.7% ในปีนี้ โดยพอร์ตการลงทุนของกองทุนหุ้นไทยบริษัทได้ลดน้ำหนักในกลุ่มแบงก์ และพลังงานลง ถือเงินสด 5-10% และให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มส่งออก กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อสาร