xs
xsm
sm
md
lg

MFC มองหุ้นยุโรป-ญี่ปุ่นเด่น แนะหาจังหวะสะสมเน้นถือยาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ระบบเศรษฐกิจโลกเปลี่ยน การเติบโตลดต่ำไปอีกระยะ ขณะที่การลงทุนโครงการใหญ่ของไทยเลื่อนออกไป บลจ.เอ็มเอฟซีให้น้ำหนักการลงทุนต่างประเทศมากกว่า ทั้งยุโรป ญี่ปุ่น จีน

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและทีม ครม. เศรษฐกิจ กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในงานสัมมนา “ยุทธศาสตร์การลงทุนในภาวะเศรษฐกิจและภาวการณ์ลงทุนใหม่” ว่า ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลง และส่งผลต่อการลงทุน ขณะที่เศรษฐกิจไทยก็กำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างจากเศรษฐกิจโลกที่โตช้าลงซึ่งเป็นภาวะปกติแบบใหม่ (New Normal) และการมีมาตรฐานสากลให้ปฏิบัติที่กระทบต่อการส่งออก ทำให้มีการขยายตัวเศรษฐกิจที่ต่ำลงเหลือระดับ 3-4% จากเดิมที่อยู่ในระดับ 5% ซึ่งจะเป็นไปแบบนี้ในช่วงระยะหนึ่ง โดยปัจจุบันราคาน้ำมันที่ต่ำลงทำให้ราคาสินค้าเกษตรลดต่ำลงไปทั้งหมด ทำให้เกิดสมดุลด้านพลังงานมีการเปลี่ยนแปลง

“ทั้งนี้ ในส่วนของภาครัฐบาลในระหว่างที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนั้นก็มีการแก้ปัญหาที่ค้างอยู่ให้หมด เป็นการจัดระเบียบต่างๆ ซึ่งจะเสร็จในปีนี้”

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาตัวเลขการลงทุนและตัวเลขการบริโภคของภาคเอกชนลดต่ำลงมาตลอด แต่เริ่มเห็นสัญญาณเป็นบวกขึ้นในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาในกลุ่มการท่องเที่ยว จึงต้องจับตาดูในเดือนต่อไปว่าตัวเลขดังกล่าวจะโตขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้นสะท้อนสถานการณ์ของการเติบโตของเศรษฐกิจโลกไปแล้ว แต่ยังมีกลุ่มธุรกิจที่ยังมีการเติบโตจากโมเดลธุรกิจแบบใหม่ ถือเป็นโอกาสของการลงทุนใหม

สำหรับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจของไทยคือเรื่องเศรษฐกิจจีน ที่อาจจะเป็นฟองสบู่ในตลาดหุ้นและอาจจะกระทบต่อการส่งออกของไทยที่ส่งออกไปจีนจำนวนมาก

นางพัณณรัชต์ บรรพโต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายบริหารกองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงจังหวะที่รอทยอยซื้อลงทุนหากตลาดปรับตัวลง ซึ่งรอดูปัจจัยเรื่องการลงทุนของภาครัฐที่จะเข้ามา โดยมองดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 3 อยู่ที่ 1,450-1,550 จุด และสิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 1,605 จุด ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเงินลงทุนต่างชาติอยู่ในตลาดไทยค่อนข้างน้อยทั้งตลาดหุ้นและตราสารหนี้

ดังนั้น การลงทุนจึงแนะนำไปที่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปมากที่สุด รองลงมาคือ ญี่ปุ่น และจีน โดยตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยบวกจากทำ QE ส่วนผลกระทบจากปัญหาเรื่องประเทศกรีซนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดยุโรปมาก

หากตลาดปรับตัวลงจากผลการโหวตประชามติในประเทศกรีซ ก็เป็นจังหวะให้เข้าทยอยลงทุนบ้าง ส่วนญี่ปุ่น มาตรการของรัฐบาลที่ออกมาทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัวและการส่งออกโตขึ้น ขณะที่จีนตลาดที่ปรับตัวขึ้นมามากควรเป็นการลงทุนในระยะยาว


กำลังโหลดความคิดเห็น