คอลัมน์คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดยทีมจัดการการลงทุน
บลจ. ทิสโก้ จำกัด
หากลองมองย้อนกลับไปดูตัวเลขขยายตัวเศรษฐกิจจีนในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ามีอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างสูงในระดับ 7-10% นั่นก็เป็นเพราะการพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ซึ่งเป็นผลมาจากความได้เปรียบเรื่องต้นทุนค่าแรงในระดับต่ำ, การนำร่องการลงทุนโดยภาครัฐวิสาหกิจ และนโยบายการสนับสนุนจากทางภาครัฐ เช่น การดูแลค่าเงินหยวนให้เอื้อต่อการแข่งขัน, การให้สิทธิประโยชน์ในเรื่องภาษีต่อผู้ที่เข้ามาลงทุน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจที่โตเร็วจนเกินไปมักจะมาพร้อมๆ กับการจัดการโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น การจัดสรรทรัพยากรที่ไม่ถูกต้อง, ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของประชากร, ธนาคารเงาที่กำเนิดขึ้นจากความยากลำบากในการขอกู้ยืมเงินของผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมที่ภาครัฐไม่ได้การสนับสนุน หรือภาวะชักหน้าไม่ถึงหลังของรัฐบาลท้องถิ่นในการบริหารรายรับรายจ่าย เป็นต้น
ด้วยปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจีนชุดปัจจุบันจึงได้ประกาศแผนแม่บทปฏิรูปในการประชุม 3rd Plenum เมื่อเดือน พ.ย. 2556 เพื่อเน้นการบริโภคภาคเอกชนให้เป็นแรงหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจแทนการลงทุนและการส่งออก โดยการปฏิรูปได้มีการดำเนินการไปแล้วในหลายด้าน ได้แก่ การควบคุม/คัดกรองการปล่อยสินเชื่อ, การลดการลงทุนของรัฐบาลท้องถิ่นที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์, นโยบายการเงินที่เอื้อต่อการสร้างเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระยะยาว
ในส่วนของตลาดทุน โครงการที่ถือว่าเป็น highlight หลัก และจะมีนัยต่อการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนในอนาคต คือ โครงการ Shanghai-Hong Kong Stock Connect หรือการเชื่อมโยงระหว่างตลาดหุ้นจีน กับฮ่องกง โดยเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุนในตลาดทุนของทั้งสองตลาดให้มากขึ้น โครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการไปตั้งแต่เดือน พ.ย. ปีที่ผ่านมา กระแสการตอบรับในรูปแบบของเม็ดเงินลงทุน และการเปิดบัญชีซื้อขายของนักลงทุนมีพัฒนาการที่ดีตามลำดับ ทั้งในส่วนที่มาจากฝั่งประเทศฮ่องกงเข้าสู่จีน (Northbound Trade) และจากฝั่งของประเทศจีนเข้าสู่ฮ่องกง (Southbound Trade)
สิ่งที่ยืนยันในปรากฏการณ์ความร้อนแรงดังกล่าว คือการปรับตัวสูงขึ้นของดัชนีฮั่งเส็ง ไชน่า เอนเตอร์ไพรส์ โดยไปจุดสูงสุดของปีที่ระดับ 14,942.37 จุด และผลตอบแทนการลงทุนในดัชนีดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 21.29% (17 เม.ย. 2558) สวนทางกับตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 1/2558 ที่ออกมาน่าผิดหวังเพียง 7% ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2552 จากภาวะเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าดังกล่าวสามารถจำแนกสาเหตุได้ดังต่อไปนี้
1). ในอดีต ทางเลือกในการลงทุนและการออมของคนจีนมีอยู่ไม่มาก ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เคยอยู่ในระดับสูง นักลงทุนมักจะออมเงินไว้ในรูปแบบของเงินฝากเป็นหลัก หรือเลือกที่จะซื้อทองเก็บไว้ตามเทศกาล อย่างไรก็ดี ด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอย การทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยลง และการสิ้นสุดลงของ QE สร้างผลกระทบต่อปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำ ทำให้การลงทุนแบบเดิมๆ ไม่ได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจดังอดีต การลงทุนในหุ้น น่าจะเป็นสิ่งใหม่ที่ดึงดูดนักลงทุนในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
2). ด้วยสภาพเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา ทำให้มีการคาดการณ์ว่าทางธนาคารกลางจีน (PBoC) น่าจะมีการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะ Hard Landing นโยบายดังกล่าวส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีนในแง่ของสภาพคล่องส่วนเกินที่กำลังจะออกมา
3). หนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าพื้นฐานของหุ้นที่จะปรับตัวสูงขึ้น (การใช้อัตราคิดลดที่ต่ำลง ทำให้มูลค่าหุ้นในปัจจุบันสูงขึ้น)
4). หากเทียบมูลค่า P/E ของตลาดหุ้นจีนในปัจจุบัน ณ วันที่ 17 เม.ย. 2558 (HSCEI 10.1 เท่า) เทียบกับตลาดของประเทศอื่นๆ (S&P500 17.7 เท่า, Nikkei 21.4 เท่า, EuroStoxx50 15.9 เท่า) จะพบว่ายังถูกกว่าค่อนข้างมาก ทำให้มีเม็ดเงินจากต่างชาติบางส่วนกลับเข้ามาลงทุนในจีน (Multiples Re-rating)
สำหรับมุมมองของทีมจัดการการลงทุน บลจ.ทิสโก้ ในระยะยาว 3-5 ปี เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยมีแรงหนุนจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลจีนทยอยออกมาเป็นระยะๆ การปรับตัวสูงขึ้นของมูลค่าหุ้นของจีนในระยะยาวจะส่งผลดีต่อ Wealth Effect ของนักลงทุนจีน กำไรหรือผลตอบแทนต่างๆ ที่ได้จากการลงทุน น่าจะเป็นเม็ดเงินหลักที่หมุนกลับเข้าไปสู่การบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้น และเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในอนาคตต่อไป อย่างไรก็ดี ด้วยภาวะที่สภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ทำให้ตลาดมีความผันผวนมาก นักลงทุนควรเลือกลงทุนด้วยความระมัดระวังและมีการปรับสัดส่วนการลงทุน (Portfolio Rebalancing) อยู่เสมอ เช่น กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนให้ชัดเจนและทยอยขายทำกำไรบางส่วนเมื่อถึงเป้าหมายแล้ว พบกันใหม่ฉบับหน้า “โชคดีและมีความสุขในการลงทุน” ครับ