แบล็คร็อคมองการลงทุนปีนี้ผันผวน แนะถือเงินสดรอจังหวะเข้าลงทุน ให้น้ำหนักหุ้นยุโรป ญี่ปุ่น ที่มีราคาถูกและมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันลดน้ำหนักลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เหตุราคาเริ่มแพง
นายไบรอัน มิลเลอร์ รองประธานและนักกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ บริษัท แบล็คร็อค (BlackRock) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2015 ภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนจะแตกต่างจากในปีที่ผ่านมา เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน โดยจีนมีนโยบายผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มดีขึ้น ขณะที่ยุโรปและญี่ปุ่น ชะลอการเติบโต แต่มีการอัดฉีดเงินเข้าระบบ ดังนั้นในปีนี้จะมีความผันผวนมากมากกว่าในอดีต
ขณะที่ราคาน้ำมันที่ลดลงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทั้งประเทศผู้นำเข้าและส่งออกน้ำมัน และบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ที่มีต้นทุนจากราคาน้ำมันด้วย ซึ่งภาวะนี้จะดำเนินไปในปีนี้
ขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปรับแข็งค่าขึ้นทำให้ส่งผลกระทบต่อบริษัทที่ทำธุรกิจทั่วโลก ปัจจัยทั้งหลายนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกมีความผันผวน ทำให้ตลาดปรับตัวลง แต่ก็เป็นโอกาสการลงทุนเช่นกัน
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีนี้เศรษฐกิจเติบโตดีขึ้น ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้น การว่างงานที่ลดลง แต่ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าแพง บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่ทำธุรกิจทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า จึงมองว่าการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ปีนี้ความสนใจลดลง
ขณะที่ยุโรป มองว่าน่าลงทุน โดยภาพรวมแม้เศรษฐกิจจะไม่ดีการเติบโตชะงัก แต่ธนาคารกลางมีการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อตลาดหุ้นยุโรปที่จะปรับตัวขึ้น ซึ่งราคาหุ้นปัจจุบันยังถูก บริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากทั่วโลกได้รับประโยชน์จากค่าเงินที่อ่อนค่า
ด้านประเทศญี่ปุ่น ราคาหุ้นยังถูก ธนาคารกลางอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ให้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการเข้าถือหุ้นมากขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่จะปรับตัวขึ้น
ส่วนตลาดเกิดใหม่ ประเทศที่น่าสนใจคือประเทศที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และส่งผลต่อการบริโภค โดยเฉพาะในจีน ที่คนมีรายได้มากขึ้นและใช้บริการด้านสุขภาพมากขึ้น ทำให้กลุ่มเฮลท์แคร์นั้นน่าลงทุน ซึ่งรวมไปถึงในประเทศไทยด้วยที่แบล็คร็อคได้ถือหุ้นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
“ในปี 2015 นี้มองว่าการลงทุนในหุ้นน่าสนใจมากกว่าตราสารหนี้ที่เริ่มให้ผลตอบแทนลดลง โดยแบล็คร็อคถือหุ้นในสัดส่วน 56% ลดการถือตราสารหนี้ลงมาเหลือ 25% จากเดิม 40% และถือเงินสดที่เป็นสกุลดอลลาร์ไว้ 19% จากเดิมที่ไม่ถือเงินสดเลย เพื่อรอจังหวะเข้าไปลงทุน โดยตลาดหุ้นที่ให้น้ำหนักการลงทุนมากในปีนี้คือ ตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น ส่วนหุ้นสหรัฐฯ ลดน้ำหนักลงทุน ส่วนหุ้นกลุ่มที่สนใจคือกลุ่มสุขภาพ พลังงานที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนหุ้นไทยไม่ถูกไม่แพง แต่ต้องเลือกลงทุนให้มากขึ้น”