บลจ.วรรณยังให้น้ำหนักหุ้นไทย เชื่อปัจจัยภายในประเทศยังหนุนให้ดัชนีไปต่อ วางกรอบดัชนีปีแพะไว้ที่ 1,750 จุด พร้อมชูธง 2 กองทุนได้แก่ 1AMSET50 และ ONE-PREMIER เชื่อตอบโจทย์นักลงทุน ล่าสุดเตรียมฉลองหลัง AUM ทะลุเป้าแตะ 1 แสนล้าน
นายมนฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในส่วนของภาคการบริโภคและการลงทุนในประเทศที่เชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐที่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้น เช่นการเบิกงบประมาณประจำปี รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
นอกจากนี้ ภาคการส่งออกน่าจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ เนื่องจากต้องดูแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกควบคู่ไปด้วย ประกอบกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อนบ้านที่เริ่มรุนแรงขึ้นเช่นกัน โดยรวมแล้วเรามองว่าจีดีพีไทยในปีนี้น่าจะเติบโตที่ 4.0-5.0% หลังจากปี 2557 ที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 0.8%
สำหรับภาพรวมสหรัฐอเมริกา เราเชื่อว่าปีนี้ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากปีก่อนหน้าจากการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องหลังที่ทางการสหรัฐอเมริกามีมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกายังไม่ใช่ปัจจัยกดดันในช่วงเวลานี้ เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะเริ่มขึ้นในปีถัดไปมากกว่า เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ เองน่าจะยังคงรอดูตัวเลขเศรษฐกิจให้เติบโตดีขึ้นอย่างชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในส่วนของยูโรโซนและญี่ปุ่น ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจยังคงเปราะบางและเงินเฟ้อลดลงจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมาก ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีมาตรการการสนับสนุนเศรษฐกิจของทางการทั้ง 2 ประเทศเพิ่มเติม โดยเฉพาะการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางทั้ง 2 ประเทศดังกล่าว และหากมีการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมแล้วนั้นก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนให้มีสภาพคล่องไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมและเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกเช่นกัน
นายมนฑล กล่าวต่อว่า จากภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นในปีนี้ และได้แรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจรวมทั้งการเมืองไทยที่มีเสถียรภาพมากขึ้น และแนวโน้มการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมผ่าน QE ในเม็ดเงินจำนวนมหาศาลของธนาคารกลางหลักในหลายประเทศ ทำให้มองว่าสินทรัพย์ที่น่าสนใจที่จะลงทุนในปีนี้ยังคงเป็นการลงทุนในหุ้นอยู่ดี
ขณะเดียวกัน การที่หุ้นไทยมีมูลค่าต่ำโดยสะท้อนจากระดับราคาหุ้นต่อกำไร (PE) ในปีนี้ที่ระดับ 13.80 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ระดับ 14.04 เท่า ขณะที่อัตราการจ่ายปันผลของหุ้นไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาค โดยอัตราการจ่ายปันผลหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 3.28% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 2.67% ทำให้มองว่าหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจและดึงดูดเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้
โดยทาง บลจ.วรรณประเมินว่า SET Index ในปีนี้จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะระดับที่ 1,750 จุดได้ ขณะที่ในด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเช่นทองคำ และน้ำมันยังคงมีแนวโน้มปรับลดลงและผันผวนตลอดในช่วงปีนี้
AUM ทะลุเป้าแสนล้าน
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ กล่าวว่า ผลการดำเนินงาน ณ เดือนพฤศจิกายน 2557 บลจ.มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ หรือ AUM อยู่ที่ 88,493.41 ล้านบาท จาก 4 ธุรกิจ ได้แก่ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบันเรามี AUM อยู่ที่ 103,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการเติบโตในปี 2558 ที่ 100,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปี 2558 เรามุ่งเน้นการเสนอขายกองทุนที่มีความหลากหลายและจับจังหวะเวลาการลงทุนควบคู่กัน (Timing) โดยเฉพาะกองทุนประเภท Trigger Fund โดยมีทั้งกองทุนที่ลงทุนในหุ้นทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุน และเน้นการแนะนำการลงทุนจากผลิตภัณฑ์ปัจจุบันที่หลากหลายตามความเหมาะสมกับภาวะการลงทุนแต่ละช่วง สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไทยแลนด์ โฮสพีทาลิตี้ คาดว่าจะเสนอขายได้ในเร็วๆ นี้
“โดยในไตรมาสที่ 1/58 เราจะเน้นผลักดันกองทุนรวมประเภทหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุน เนื่องจากมองว่าหุ้นในปีนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการลงทุน ซึ่งปัจจุบัน บลจ.วรรณมีกอง Flagship ที่เน้นลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว คือ กองทุนเปิด 1AMSET50 และกองทุนเปิด ONE-PREMIER ซึ่งเน้นการจัดสรรเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างๆ ทั้ง หุ้น ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ ทองคำ และน้ำมัน ฯลฯ ที่เหมาะสมกับการลงทุนในแต่ละช่วงเวลานั้นๆ เพื่อให้กองทุนฯ บรรลุการสร้างผลตอบแทนเป้าหมายตามที่ได้ตั้งไว้โดยเฉลี่ยที่ 5-8% ต่อปี นอกจากการสร้างผลตอบแทนควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงแล้วนักลงทุนยังได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันชีวิต โดยวงเงินความคุ้มครองสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท (ตามเงื่อนไขกองทุน) อีกด้วย”