นายกสมาคม บลจ.ยอมรับเม็ดเงินลงทุนในกองทุน LTF-RMF มาช้ากว่าหลายปีที่ผ่านมา หลังนักลงทุนบางส่วนยังไม่มั่นว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเดิม พร้อมให้ความมั่นใจยังลดหย่อนภาษีได้ถึงปี 2559 ส่วนจะต่ออายุหรือไม่นั้นต้องรอพิจารณาปลายปี 2558
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนมาก อุตสาหกรรมกองทุนได้ทำหน้าที่สร้างเสถียรภาพให้กับตลาด โดยนำเงินจากนักลงทุนเข้าไปลงทุน
“ถ้าวันนี้ไม่มีกองทุนหุ้น ไม่มีกองทุน LTF ก็ไม่รู้ว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะโดนทุบมากกว่านี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม การเข้าลงทุนของกองทุนไม่ใช่การเข้าไปพยุงหุ้น เพราะเป็นการลงทุนเพราะเห็นโอกาสการลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นถูกลง ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งมองว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพยุงหุ้น เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจต่อตลาดทุนมากขึ้น เห็นได้จากช่วงที่ตลาดหุ้นปรับลดลงแรง นักลงทุนนำเงินมาลงทุนผ่านกองทุนรวม และกองทุนนำเงินเข้าไปลงทุนอยู่แล้ว”
นางวรวรรณ กล่าวต่อว่า ภาพรวมการลงทุนในกองทุน LTF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยง (RMF) ในปีนี้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนช้ากว่าปีที่ผ่านๆ มา เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนยังไม่มั่นใจว่าการลงทุนใหม่ในปีนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือไม่ ซึ่งการลงทุนกองทุน LTF จะยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีไปจนถึงปี 2559 เหมือนเดิม แต่จะต่ออายุหรือไม่ต้องรอการพิจารณาในช่วงปลายปี 2558 ขณะที่กองทุน RMF ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสิทธิในการลดหย่อนภาษี แต่ทั้งนี้หากไม่มีการต่ออายุสิทธิลดหย่อนภาษีให้กับกองทุน LTF คงจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบ้าง
“อุตสาหกรรมกองทุนเป็นธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากสิทธิลดหย่อนภาษี เพราะฉะนั้นเราต้องมีจิตสำนึกที่จะสร้างวัฒนธรรมการออมให้กับสังคมไทย เพราะกองทุนจะเป็นกลไกใหญ่ที่ทำให้คนไทยมีการวางแผนการเงิน แต่ที่ผ่านมาระยะเวลายังไม่มากพอที่จะทำให้คนเข้าใจการลงทุน” นางวรวรรณกล่าว
ทางด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) ในช่วงสัปดาห์ที่เหลือของปีนี้ เชื่อว่าเม็ดเงินดังกล่าวไม่น่าจะช่วยดันดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเหมือนช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนมีการปรับเปลี่ยนไป โดยการหันไปลงทุนช่วงกลางปีมากขึ้น และช่วงที่ดัชนีมีการปรับตัวลงมากกว่า 100 จุด เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 57 ที่ผ่านมา มีเม็ดเงิน LTF ไหลเข้าตลาดจำนวนมาก ส่งผลให้เม็ดเงิน LTF ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้มีไม่มากนัก
ทั้งนี้ พบว่าช่วงที่หุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงระหว่างวันที่ 8-12 ธ.ค. 57 มีเม็ดเงินลงทุนจาก LTF ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยประมาณ 6,000 กว่าล้านบาท นับว่าน้อยมาก ส่วนข้อมูล NAV และ Unit Holder เทียบ ณ 12 ธ.ค. 2557 พบว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของอุตสาหกรรมกองทุนรวมมีประมาณ 3,791,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงปีที่ผ่านมา 23.23% คิดเป็น 714,695 ล้านบาท กองทุน LTF มูลค่า NAV ประมาณ 253,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.50% คิดเป็นเงิน 39,579 ล้านบาท กองทุน RMF มูลค่า NAV ประมาณ 159,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.43% คิดเป็น 22,489 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากมาดูในส่วนของจำนวนบัญชี พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูล ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 57 อุตสาหกรรมกองทุนรวมมีจำนวนบัญชีประมาณ 4,039,928 บัญชี เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 6.02% คิดเป็น 229,220 บัญชี กองทุน LTF มีบัญชีทั้งสิ้น 981,362 บัญชี เพิ่มขึ้นประมาณ 2.22% คิดเป็น 21,316 ล้านบาท กองทุน RMF มีบัญชีทั้งสิ้น 505,104 ล้านบาท ลดลงจากช่วงปีที่ผ่านมา -4.92% คิดเป็น -26,117 ล้านบาท
“ณ วันที่ 12 ธ.ค. 57 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมมีกองทุนรวม 1,575 กองทุน มีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาประมาณ 6.02% รวมมูลค่า NAV เป็น3.79 ล้านล้านบาท โดยกองทุนรวม RMF 131 กองทุน มูลค่ารวม 159,344 ล้านบาท และกองทุนรวม LTF 53 กองทุน มูลค่ารวม 253,491 ล้านบาท”
นางเกศรา กล่าวว่า สำหรับทิศทางการลงทุนของนักลงทุนไทยนับจากนี้ไปจะมีอัตราการเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทยมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี นักลงทุนหันมาลงทุนในกองทุนหุ้นมากขึ้น หลังจากเห็นว่าการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดี ประกอบกับการกระตุ้นการออมผ่านกองทุน LTF ทำให้นักลงทุนเห็นถึงผลตอบแทนในระดับสูงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์การลงทุนอื่น ทั้งนี้ จะเห็นว่ากองทุนหุ้นไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเติบโต 100% และจะยังเติบโตต่อเนื่องในอนาคต