xs
xsm
sm
md
lg

ระวัง “หุ้นอภินิหาร” (2557) ภาค 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผมได้ติดตามดูตลาดหุ้นอีกครั้งในช่วงนี้ และเริ่มสังเกต “กลิ่นแปลกๆ”

ผมทบทวนอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องนี้อีกดีหรือไม่? แต่เมื่อดูหัวข้อคอลัมน์แล้วว่า “รวยด้วยรัก รวยด้วยหุ้น” ผมก็คงต้องมีส่วนร่วมแสดงความรักต่อตลาดทุนซึ่งเลี้ยงดูผมมา แสดงความรักต่อลูกค้าผู้มีพระคุณต่อผมเสมอมาทั้งนักลงทุน และบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด mai และแสดงความรักต่อเพื่อนพนักงานที่ร่วมแรงร่วมใจรักษาความเป็นหนึ่งด้วยปณิธานที่ว่า “ความมั่งคั่งของท่าน คือ ความมุ่งมั่นของเรา”

ส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งคือ “ไม่ขาดทุนครั้งใหญ่ๆ”

หากจะพูดถึง “หุ้นอภินิหาร” ที่มี “การปั้น” กันมาอย่างไร้เหตุผล หรือไร้ปัจจัยพื้นฐานนั้น มีลูกค้าผู้มีพระคุณสอนผมว่า “ทุกรอบที่ปั่นหุ้น คนปั่นหุ้นจะเอาหุ้นไปทิ้งที่โบรกเกอร์”

...เราเห็นมาแล้วในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ 1997 บริษัทเงินทุน และเงินทุนหลักทรัพย์ปิดไป 56 แห่ง มียอดลูกหนี้ค้างที่โบรกเกอร์มากมาย แม้กระทั่งที่เมย์แบงก์กิมเอ็ง ก่อนหน้านั้น เราก็คือ บล.นิธิภัทร ซึ่งมียอดลูกค้าค้างตั้งแต่ยุคนั้นประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งเราได้ตั้งสำรองเกิน 100% ไว้แล้ว

...เราได้เห็นอีกรอบตอนที่ปี 2008 หุ้นบางหุ้นมีมูลค่าตลาดตกจาก 20,000 ล้านบาท เหลือ 200 ล้านบาท ใน 8 วัน บางโบรกเกอร์ปีนั้นขาดทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท บางโบรกเกอร์ขาดทุน 200 ล้านบาท โดยที่ถ้าโบรกเกอร์ขาดทุน แปลว่าลูกค้าต้องถึงขั้นล้มละลายไปแล้ว! (เราไม่มีขาดทุนเลย เพราะระวังในการปล่อยสินเชื่อ และจึงได้ช่วยระวังลูกค้าด้วย)

ผมขอออกตัวก่อนว่า ผมสนับสนุนการพัฒนาตลาด mai เสมอ และมีพี่ๆ ที่ผมรักในตลาด mai มากมาย ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าหุ้นในตลาด mai มีปัญหาโดยทั่วไป แต่ต้องยอมรับว่า “บางหุ้น” (ยืนยันว่าไม่ใช่ทุกหุ้น) เริ่มเห็นกลิ่นแปลกๆ จากข้อมูลของภาพรวมตลาด mai ดังต่อไปนี้

… เฉพาะดัชนี mai ปรับขึ้นมา 95.61% จาก 351.7 จุด เมื่อเดือน ม.ค. 2014 เป็น 688.1 จุด ณ สิ้นเดือน ต.ค. ในขณะที่ดัชนี SET ปรับขึ้นมาเพียง 21.85% จาก 1,274 จุด เมื่อเดือน ม.ค. 2014 เป็น 1,553 จุด ณ สิ้นเดือน ต.ค.

… พีอีเรโช เฉลี่ยของตลาด mai บนผลการดำเนินงาน 4 ไตรมาสย้อนหลัง อยู่ที่ 75.27 เท่า! ขณะที่ของตลาดเพียง 18.09 เท่า

... มูลค่าการซื้อขายของตลาด mai เทียบกับตลาดรวม คิดเป็นเพียง 2.16% เมื่อเดือน ม.ค. แต่เพิ่มสูงสุดสูงเป็น 14.88% ในเดือน ก.ย. และปัจจุบันยังสูงถึง 9.45% ทั้งๆที่มูลค่าขนาดหุ้นรวม (market capitalization) เป็นเพียง 2.31% เท่านั้น ทำให้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ข้อสังเกตเพื่อเตือนใจนักลงทุนมีหลายประการ ดังนี้

1. ถ้าจะซื้อหุ้น พีอีเรโชสูงมากๆ เราจะได้ผลตอบแทนน้อย หุ้นที่พีอีเรโช 50 เท่า แปลว่า เพื่อนกำไรต่อหุ้น 1 บาท เราจ่าย 50 เท่า คือ 50 บาท ซึ่งจะได้ผลตอบแทน 1/50 = 2% แต่หุ้นในตลาดที่มีพีอีสัก 14-15 เท่า ก็จะให้ผลตอบแทนประมาณ 6-7%

2. การซื้อหุ้นพีอีเรโชสูงๆ เป็นไปได้ ถ้าเรามั่นใจในการเติบโต แต่เรารู้จักกิจการดีหรือไม่? เรามั่นใจในผู้บริหารหรือไม่? เราแน่ใจในพฤติกรรมเจ้าของหุ้นหรือไม่?

3. มีอาการ “เวียนเทียน” เพราะมีหลายหุ้นเข้า Turnover List ซึ่ง ก.ล.ต.กำหนดให้ต้องซื้อขายเฉพาะในบัญชี cash balance คือลูกค้าต้องชำระเงินล่วงหน้า 100% แต่เนื่องจากมีบางหุ้นที่ออกจาก Turnover List ก็สามารถทำให้มีช่องทางใช้เงินโบรกเกอร์พยุงหุ้นต่อได้

4. เท่าที่รับทราบ สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เริ่มเห็นอาการแปลกๆเหล่านี้ จึงนอกจากความเสี่ยงของตัวปัจจัยพื้นฐานแล้ว ก็จะมีความเสี่ยงจากการมีมาตรการเพิ่มเติมป้องกันตลาดหุ้นไร้เหตุผล และไร้ปัจจัยพื้นฐาน

ดังนั้น นักลงทุนทั้งหลายจึงควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง ในหุ้นดีๆ เช่นตลาดหุ้น SET ด้วยเงินเพียง 1 ล้านบาท หากลงเป็นเวลาสัก 10-12 ปี จะได้เงินประมาณ 4.5 ล้านบาท แต่ถ้าฝากเงินธนาคารจะได้เพียง 1.4 ล้านบาทเท่านั้น

ซึ่งความเสี่ยงก็ไม่มาก เพราะถ้าลงทุนยาวนานพอก็จะมีปีดีมาเฉลี่ยกับปีไม่ดี ทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยค่อนข้างแน่นอน

แต่ถ้าเราหลงไปลงทุน “หุ้นอภินิหาร” โดยที่ไม่รู้จักพื้นฐาน ไม่เข้าใจธุรกิจ ไม่มั่นใจการเติบโต ไม่แน่ใจความเสี่ยง โปรดระลึกไว้ว่า

“ถ้าหุ้นขึ้นแรงได้โดยไร้เหตุผล มันจะลงแรงได้อย่างมีเหตุผล” ทีเดียวครับ ก่อนการลงทุน โปรดศึกษาปัจจัยพื้นฐานจากฝ่ายวิจัยของโบรกเกอร์ต่างๆ ได้ครับ
มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)


กำลังโหลดความคิดเห็น