xs
xsm
sm
md
lg

ระวัง “หุ้นอภินิหาร” (2557)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผมได้มีโอกาสย้อนกลับไปดูบทความที่ผมได้เขียนไว้ในคอลัมน์ “รอบด้านตลาดทุน” ในเว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 เรื่อง ระวัง “หุ้นอภินิหาร” ผมเห็นว่ามีสาระที่น่าสนใจสำหรับช่วงนี้ทีเดียว จึงขอนำมาเสนอท่านผู้อ่านอีกครั้งครับ

ผมได้เห็นหุ้นบางหุ้นมีมูลค่าตลาดสูงขึ้นจากต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ใช้เวลาไม่ถึง 2 ปีสามารถมีมูลค่าสูงขึ้นเป็นกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่กำไรจากการดำเนินการปกติดูแทบจะไม่มีอะไร

เมื่อถึงเวลาแห่งการพิพากษา (Judgment Day) ภายในเวลาเพียง 7 วันทำการ หุ้นสามารถตกลงมาจากมูลค่าตลาดประมาณ 21,000 ล้านบาท ลงมาแวะจุดต่ำสุดประมาณ 30 ล้านบาท ก่อนตีกลับขึ้นไปปิดที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ผมเห็นแล้วเป็นห่วง อยากที่จะเสนอข้อมูลและความเห็นหลายประการ ดังนี้

1. **หุ้นอภินิหารมีเป็นจำนวนน้อยในตลาดหลักทรัพย์** ประชาชนส่วนใหญ่ทั่วโลก อยากเห็นตลาดหุ้นเป็นแหล่งการลงทุนที่ดี ให้ผลตอบแทนที่ดี และไม่เสี่ยงเกินไป หลายคนจะกลัวสภาวะเช่นนี้ที่ โดยไม่ทันรู้ตัว หุ้นตกลงมามากมาย หมดเนื้อหมดตัว ผมขอบอกว่า สำหรับหุ้นส่วนใหญ่จะไม่เป็นเช่นนั้น หุ้นที่ขึ้นลงอย่างไม่มีเหตุผล มีอย่างมากประมาณ 10-20 หุ้นจากทั้งตลาด 477 หุ้น (ปัจจุบัน 29 กันยายน 2557 จำนวน 599 หุ้น)

2. **หุ้นดีๆ มีเป็นจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์** โดยเฉพาะเป็นจังหวะที่ดี เช่น ปตท. ปูนซิเมนต์ไทยฯ ธนาคารใหญ่ๆ เซ็นทรัลพัฒนา แลนด์ แอนด์ เฮาส์ พฤกษา แอดวานซ์ ดีแทค บ้านปู ซีพีออลล์ (7-11) ฯลฯ มีมากมาย แม้จะตกลงมาตามสภาวะตลาด แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งจะมีแรงรับ ถึงจุดหนึ่งเราจะวางใจว่ามันแทบจะไม่มีที่จะตกต่ำลงไปกว่านี้สักเท่าไรแล้ว จึงลงทุนรอได้ รับปันผลได้ และสภาวะที่ตลาดหุ้นลงมามากๆ เช่นนี้ (ขณะนั้น ปลายปี 2551) จะเปิดโอกาสตามหลักการที่ว่า “ทุกครั้งหลังวิกฤต ย่อมมีสิทธิ์เกิดเศรษฐีใหม่” ซึ่งทางกิมเอ็งได้ขายดีวีดีโครงการความรู้สู่ผู้ลงทุน ชุด “ทุกครั้งหลังวิกฤต ย่อมมีสิทธิ์เกิดเศรษฐีใหม่” ถือเป็นเทศกาล “Amazing Thailand Grand Sales” ในงาน “Set in The City” ที่ผ่านมา โดยจะนำรายได้ไปผลิตดีวีดีเพิ่มเพื่อแจกไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ

3.** นักลงทุนควรจะรู้จักหุ้น มากกว่าที่จะเล่นเพราะหวือหวาดี **ในยุคหุ้นอภินิหาร บางกลุ่มเคยได้รับฉายาว่า “หุ้นกลุ่ม 7 ดาวเหนือ” ผมเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ เพื่อนก็มาชวนว่า “เจ้าภาพจะเล่น 5 ตัวนี้” ผมไม่เชื่ออยู่ 2-3 วัน แล้วหุ้นก็ขึ้นโชว์ ต่อมาผมก็จึงอยากเสี่ยงบ้าง เข้าไปซื้อ 2 ตัว สิ้นวันม้าก็เข้าเส้นชัย ปรากฏว่า 3 ตัวที่ไม่ได้ซื้อขึ้น แต่อีก 2 ตัวลง พี่บางคนสอนผมว่า เจ้าภาพมักใช้สูตร "ลากโชว์ ยังไม่เข้า ก็ลากขึ้นไป รายย่อยเข้า ก็ทุบลง รายย่อยถือ ก็กดต่ำไว้ รายย่อยขาย ก็ลากขึ้นใหม่" หากเทียบเหมือนพนัน ก็คล้ายการแทงม้า ซึ่งเจ้ามือสามารถเลือกได้ว่าจะเอาม้าตัวไหนเข้า แต่ข่าวร้ายคือ ผมติดตามเรื่องอย่างนี้มานาน ไม่ค่อยเคยเห็น "เจ้าภาพ" ทำหุ้นเพื่อ "แจกเงิน" เลย ใครที่ทะนงตนถือว่า "ตาดีก็ได้ ตาร้ายก็เสีย" ก็ขอให้ระมัดระวังด้วย อีกครั้ง หุ้นดีๆ ในตลาดมีมากมาย ไม่มีอภินิหาร แต่จะขึ้นลงด้วยเหตุผล ซึ่งเราก็ศึกษา และจะฝึกคาดการณ์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หุ้นดีๆ หลายหุ้นก็ลงมา แต่จะไม่เห็นปรากฏการณ์ที่มูลค่าตลาดตกจาก 2 หมื่นล้านบาท มาเหลือเพียง 1 พันล้านบาทใน 7 วัน!!

4.** โอกาสทอง** "Amazing Thailand Grand Sales" สำหรับผู้ที่ยังไม่ลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนประเทศไทยปัจจุบันมีเพียงประมาณ 1 ล้านบัญชี เป็นบัญชีที่มีการเคลื่อนไหวเพียง 2-3 แสนบัญชีเท่านั้น จากประชากร 65 ล้านคน ที่ไต้หวัน มีนักลงทุนถึง 8 ล้านคน จากประชากรเพียง 23 ล้านคน ผมเชื่อว่า เมื่อประชาชนมีความรู้ดีขึ้น ฐานะดีขึ้น ก็น่าจะมีโอกาสเข้ามาลงทุนในตลาดมากขึ้น จุดอ่อนของนักลงทุนใหม่ก็คือ หากยังเห็นคาตาว่าหุ้นตกลงมามากๆ ก็จะกลัว หลายๆ คนมักจะรอจนเห็นว่าใครๆ เข้าไปลง ก็ได้กำไรบ่อยๆ อย่างกว้างขวาง จะเชื่อ ซึ่งประมาณหลักการว่า "เห็นหุ้นขึ้นจะมั่นใจจึงได้เข้า เห็นหุ้นเน่าจนเศร้าใจจึงได้ขาย" ซึ่งหุ้นขึ้นมากแล้ว จะเผชิญความเสี่ยงที่หุ้นแพง แต่หุ้นที่ลงมาถูก แบบ Thailand Grand Sales อย่างนี้ จะเป็นการเข้ามาลงทุนที่ได้เปรียบด้านต้นทุน และช่วงนี้ก็ดีด้วยที่ไม่ต้องรีบร้อน รอเก็บวันอารมณ์ไม่ค่อยดี หรืออารมณ์ตกใจ และเมื่อขึ้นมา แล้วยังเห็นว่าเรื่องราวยังไม่จบง่ายๆ ก็ลดพอร์ตลงไปบ้าง จะได้เก็บกำลังลงมาเก็บหุ้นตอนตกใจอีก ก็สามารถทำได้เช่นกัน

หากย้อนกลับไปดูคำแนะนำให้ซื้อหุ้นดีๆ มีปัจจัยพื้นฐาน ด้วยน้ำหนักตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ก็จะขึ้นตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (หรือซื้อกองทุน ETF ก็ได้) จากขณะนั้น 392 จุด เป็น 1,600 จุดในปัจจุบัน ก็จะขึ้นมาโดยเฉลี่ยถึง 4 เท่า!

แต่หากถอยไปดูหุ้นอภินิหาร ก็จะพบว่า “หลายๆ หุ้นขึ้นมาได้อย่างไร้เหตุผล มันก็สามารถลงได้อย่างมีเหตุผล” ทีเดียวครับ

บทความนี้ ยังดูจะใช้ได้กับสภาวะหุ้นปัจจุบัน หลายๆ หุ้นเริ่มมีราคาสูงขึ้นจนเกินเหตุผล สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังให้มากที่สุด ก็คือ จัดสรรเงินของเราลงในหุ้นที่เรารู้จัก ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่เราเข้าใจ มีศักยภาพในการเติบโตที่เราเชื่อมั่น มีระดับราคาที่เราเทียบได้

สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนควรเริ่มมองมากขึ้นคือ มูลค่าของกิจการ หรือ Market Capitalization คำนวณจาก

Market Capitalization = จำนวนหุ้น x ราคาหุ้น

ในธุรกิจที่คล้ายๆ กัน “กิจการที่ใหญ่ควรมี มูลค่ากิจการ ที่ใหญ่กว่ากิจการที่เล็ก” ดังนั้นกิจการที่เล็กกว่า ทำกำไรได้น้อยกว่า มีเวลาในการทำกำไรดีๆ สั้นกว่า ก็ไม่ควรมีมูลค่ากิจการใหญ่กว่ากิจการที่ใหญ่กว่า กำไรมากกว่า หรือมีเวลาในการทำกำไรยาวนานกว่า

ช่วงนี้ในการบริหารความเสี่ยง ผมเริ่มวัดว่า

...หุ้นใดมีราคาสูงกว่า “จุดต่ำสุด” ในรอบ 2 ปี สัก 100% ก็น่าคิดทบทวนสัก 3 รอบก่อนลงทุน และถ้าขึ้นมาเกิน 200% คือราคาเกิน 3 เท่าของจุดต่ำสุด ก็ควรคิดทบทวนปัจจัยพื้นฐานสัก 5 รอบก่อนลงทุน เพราะหุ้นรวมเพิ่งขึ้นมาประมาณ 30% เท่านั้น
.
.. สำหรับหุ้นใหม่ IPO ในรอบ 2-3 ปี ก็อาจเทียบกับราคา IPO ก็ยอมรับว่าหุ้นใหม่ก็ขึ้นได้ แต่หากราคาสูงกว่าราคาตอนเสนอขายหลายเท่า เช่น เกิน 2 เท่า หรือ 3 เท่า ก็ควรทบทวนให้ดีว่าปัจจัยพื้นฐานเป็นอย่างไร

ถ้าเราลงทุนโดยรู้จักหุ้น เข้าใจกิจการ มั่นใจการเติบโต พิจารณาความเสี่ยง ซื้อในราคาที่เหมาะสม มูลค่าตลาดของกิจการที่สมเหตุผล การลงทุนของเราก็จะมีความเสี่ยงน้อยลง และจะได้ไม่เสี่ยงเกินไปกับ “หุ้นอภินิหาร” ครับ

มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)


กำลังโหลดความคิดเห็น