กองทริกเกอร์ บลจ.เข้าเป้า “ไทย ทริกเกอร์ 3% พลัส 3% (2)” ของยูโอบีเข้าเป้าในเวลา 1 เดือน 10 วัน ขณะที่กอง “เอ็มเอฟซี สมาร์ท อินเวสเมนท์ ซีรี่ส์ 5 อี 1 (SI5E1)” บริหารเข้าเป้า นักลงทุนเฮเตรียมรับผลตอบแทน
นางสาวณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า บลจ.ยูโอบีสามารถบริหารกองทุนเปิด ไทย ทริกเกอร์ 3% พลัส 3% (2) สำเร็จตามเป้าหมายภายในระยะเวลาเป็นกองที่ 4 ในไตรมาส 3 หลังจากกองทุนเปิด ไทย ทริกเกอร์ 10% (11) กองทุนเปิด ไทย ทริกเกอร์ 3% พลัส 3% และกองทุนเปิด ยูโอบี ทริกเกอร์ 17 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ยังคงมีมุมมองในทิศทางบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในขณะที่ยังคงติดตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างใกล้ชิด โดยบริษัทจะคอยปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับภาวการณ์ตลาดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิผลสูงสุด”
โดย บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจและหุ้นไทยในครึ่งปีหลังจากปัจจัยสนับสนุนทางการเมือง เช่น การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากนโยบายที่มีความชัดเจนมากขึ้น และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งได้แก่ การอนุมัติกรอบงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2558 ด้วยวงเงิน 2.5 ล้านล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นจากงบประมาณปี 2557 เป็นจำนวน 5 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2% และแผนการลงทุน 8 ปี ในโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งวงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มโครงการทันทีตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 2558 รวมไปถึงปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากต่างประเทศ คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในยุโรปของ ECB ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดทาง ECB ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.10% เป็น 0.05% เป็นระดับต่ำสุดของ ECB และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับ ECB ลดเป็น -0.20% จากเดิม -0.10% และสถานการณ์ในประเทศยูเครนที่เริ่มมีทิศทางดีขึ้น มีแนวโน้มในการเจรจาเพื่อยุติปัญหาระหว่างประเทศยูเครนกับประเทศรัศเซีย ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดจะช่วยสร้างมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยต่อไป
นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เอ็มเอฟซีได้บริหารกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สมาร์ท อินเวสเมนท์ ซีรี่ส์ 5 อี 1 หรือกองทุนเปิด SI5E1 เติบโตมีมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10.55 บาทขึ้นไป ซึ่งเข้าเป้าหมายรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งแรกร้อยละ 5 ภายในประมาณหนึ่งเดือน โดยเอ็มเอฟซีจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งที่ 1 และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน (MM-GOV) เป็นจำนวน 0.50 บาทต่อหน่วยลงทุน
“เอ็มเอฟซียังมุ่งมั่นที่จะบริหารกองทุนเปิด SI5E1 เพื่อให้เข้าเป้าหมายเพื่อที่จะเลิกกองทุน โดยเมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุน 11.15 บาทขึ้นไปเป็นเวลา 5 วันทำการติดต่อกันและทรัพย์สินเป็นเงินสดทั้งหมดเป็นเวลา 5 วันทำการติดต่อกัน บริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเข้ากองทุนเปิด MM-GOV ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 110 ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท) และบริษัทจะเลิกโครงการกองทุนดังกล่าว แต่หากเกิน 10 เดือน กองทุนจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ และกองทุนยังคงตั้งเป้าหมายเพื่อที่จะเลิกกองทุนร้อยละ 10 ต่อไป”
ทั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุนความสำเร็จของการบริหารกองทุนเปิด SI5E1 คือการลงทุนในช่วงจังหวะเศรษฐกิจไทยและยุโรปฟื้นตัว ซึ่งสายบริหารกองทุนของเอ็มเอฟซีมองว่า เศรษฐกิจในประเทศคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นหลังจากมีรัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศ และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ค่อนข้างแข็งแกร่ง และคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง และตลาดหุ้นไทยยังซื้อขายที่ระดับ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอื่นในภูมิภาค และการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศอยู่ระดับต่ำจึงมีโอกาสที่จะมีการไหลเข้าของเม็ดเงินเพิ่มได้ในอนาคต
ด้านภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยุโรปมีการฟื้นตัวในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาถึงไตรมาสแรกของปีนี้ นำโดยเศรษฐกิจของเยอรมนี และสัญญาณการฟื้นตัวของอิตาลีและสเปนโดยเฉพาะการจ้างงาน การค้าปลีก และความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวสูงกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ผลประกอบการไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมาของบริษัทเอกชนในดัชนี Bloomberg European 500 Index สูงกว่าผลประกอบการของสี่ไตรมาสก่อนหน้า และดีกว่าที่คาดการณ์โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร