บลจ.ไทยพาณิชย์ มองหุ้นไทยยังน่าลงทุน ต่างชาติจะกลับมาลงทุนเหมือนเดิม แนะกองทุน SCBGLOW และกองทุน SCBGLOWP กระจายการลงทุนไปต่างประเทศ รับผลตอบแทนสูงในระยะยาว
นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนไทยยังมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นค่อนข้างน้อย เห็นได้จากโครงสร้างของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นการออมระยะยาวเพื่อเกษียณนั้นมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพียง 13% เท่านั้น ขณะที่มีลงทุนในตราสารหนี้ 73% เงินฝาก 10% ซึ่งเป็นที่น่ากังวลว่าคนไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนั้นจะมีเงินเพียงพอไว้ใช้สำหรับยามเกษียณหรือไม่ โดยหากมาดูตัวอย่างกองทุนเพื่อเกษียณอายุของออสเตรเลีย (Superannuation Funds) นั้น พบว่ามีการลงทุนในหุ้นสูงถึง 60% โดยเป็นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 26.6% หุ้นออสเตรเลีย 33.4% โดยมีการลงทุนในตราสารหนี้เพียง 19% เท่านั้น แบ่งเป็นตราสารหนี้ในประเทศ 12% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 7% ทั้งนี้มีเงินฝากประมาณ 10.3% นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อีก 11.4% ด้วย
ทั้งนี้จะเห็นว่า ภาพการออมเพื่อเกษียณอายุของไทยกับต่างประเทศต่างกันมาก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของไทยมีการลงทุนในหุ้นเพียง 13% เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากและอาจทำให้คนไทยมีความเสี่ยงจากการที่มีเงินไม่พอใช้ในยามเกษียณ หากลงทุนไป 30 ปี ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1 บาทเท่ากัน ผ่านไป 30 ปี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของไทยเงินจะโตเป็น 5.2 บาท ในขณะที่กองทุนเพื่อเกษียณอายุของออสเตรเลียจะเพิ่มขึ้นเป็น 10.06 บาท มากกว่าไทยประมาณ 2 เท่า นี่คือ สิ่งที่สังคมไทยคงต้องตระหนักและผลักดันให้มากขึ้นด้วย”
นายสมิทธ์ ยังกล่าวอีกว่า บริษัทได้แนะนำกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล เวลธ์ (SCBGLOW) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลบอล เวลธ์ พลัส (SCBGLOWP) ให้กับนักลงทุนเพื่อใช้เป็นแกนหลักของพอร์ตการลงทุน โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายในต่างประเทศผ่านกองทุนชั้นนำในการบริหารสินทรัพย์ประเภทนั้นๆ ในโลกทั้งหุ้น ตราสารหนี้ เป็นต้น โดยคาดหวังผลตอบแทนระยะยาวเฉลี่ย 7-8% ต่อปี ถือเป็นกลุ่มกองทุนที่ผสมสินทรัพย์อย่างเหมาะสมเพื่อให้ผลตอบแทนค่อนข้างนิ่งและเติบโตในระยะยาว เพราะนักลงทุนบางคนก็จัดสรรเงินลงทุนเองไม่ได้การใช้รูปแบบของกองทุนที่มีการจัดสรรเงินลงทุนให้อย่างเหมาะสมในทุกสภาวการณ์จึงน่าจะช่วยนักลงทุนในเรื่องนี้ได้บ้าง
โดยที่ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่แต่ก็มีโอกาสในการลงทุนอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน มองว่านักลงทุนต่างชาติในที่สุดก็จะต้องกลับมาลงทุนในหุ้นไทยอีกครั้ง เพราะนักลงทุนต่างชาติเขาไม่ได้มองแค่เรื่องปัญหาการเมืองหรือการเมืองไทยจะเป็นแบบไหน นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่เขามองหาโอกาสในการลงทุนที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี ทำให้เงินงอกเงยได้มากกว่า เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในที่สุดก็จะฟื้นกลับคืนมาเมื่อตัวเลขในภาคเศรษฐกิจจริงยืนยัน กว่าที่คนจะเชื่อมั่นก็คงต้องใช้เวลาบ้างแต่ภาพในปีหน้ามีแนวโน้มดีขึ้นกว่าในปีนี้แน่นอน
“สำหรับบริษัทฯ เองหลังที่มีความชัดเจนต่างๆ ออกมานั้น มุมมองการลงทุนในหุ้นก่อนการรัฐประหารกับหลังรัฐประหารมีเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย โดยบริษัทกลับมามองหุ้นที่อิงการเติบโตในประเทศบางตัว เช่น รับเหมาก่อสร้างบางตัว เป็นต้น จากก่อนหน้านั้นที่เลี่ยงกลุ่มเหล่านี้ไป โดยยังให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานต่ำกว่าตลาดอยู่”
ฟิทช์ คงเครดิต บลจ.ไทยพาณิชย์
นายสมิทธ์ กล่าวว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้รับการประกาศอันดับบริษัทจัดการกองทุนภายในประเทศ (National Scale Asset Manager Rating) จาก บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นปีที่ 4 โดยคงอันดับเครดิตที่ “Highest Standards (tha)” แสดงถึงการที่บริษัทมีการจัดการด้านปฏิบัติการและการลงทุน ที่ฟิทช์คิดว่าโดดเด่นกว่ามาตรฐานที่นักลงทุนสถาบันภายในประเทศใช้ในการพิจารณาบริษัทจัดการลงทุนเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จาก 2 ปีแรกที่ “M2+(tha)”
โดยฟิทช์มองว่า บลจ.ไทยพาณิชย์มีกรอบนโยบายการบริหารจัดการและการควบคุมความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งมีความพร้อมสูงทั้งทางด้านบุคลากรและประสบการณ์ ซึ่งกรอบนโยบายหลักดังกล่าวสนับสนุนให้บริษัทสามารถทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงของ บลจ.ไทยพาณิชย์ และฝ่ายบริหารความเสี่ยงของธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมกันบริหารความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงานและความเสี่ยงด้านการจัดการลงทุน
ทั้งนี้ จากการประกาศของฟิทช์สำหรับการคงอันดับบริษัทจัดการกองทุนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ สะท้อนถึงการที่บริษัทมีชื่อเสียงที่ดีและเป็นที่รู้จักในธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนในประเทศไทย การที่บริษัทมีผู้บริหารระดับสูงและบุคลากรทางด้านการลงทุนที่มีประสบการณ์ กระบวนการลงทุนที่เป็นระบบ การมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูง รวมถึงได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิต’AA (tha)’/แนวโน้มมีเสถียรภาพ/’F1+(tha)’) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายเดียวของบริษัท โดยบลจ.ไทยพาณิชย์ ได้รับประโยชน์จากการที่ธนาคารไทยพาณิชย์มีสาขาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับประโยชน์จากการโอนสายงานด้านการบริหารจัดการความเสี่ยง ด้านการกำกับและควบคุม และด้าน IT ไปยังธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งมีความพร้อมสูงทั้งทางด้านบุคลากรและทรัพยากรในสายงานดังกล่าว