ทิสโก้สบจังหวะออก “ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%” เจ้าแรกของไทย ลงทุนหุ้นบริษัทชื่อดัง วางเป้าผลตอบแทน 8% ภายใน 8 เดือน ชี้ตลาดหุ้นเยอรมนีโดดเด่นสุดในยุโรป มีอัปไซด์กว่า 16% ด้านยูโอบีเฮ กอง T11 ถึงเป้า 5%
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อตอบโจทย์การลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม ล่าสุด บลจ.ทิสโก้ได้เปิดตัวกองทุนใหม่ซึ่งมีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมนี คือ กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% เป็นเน้นลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมนี ผ่านกองทุนหลักคือ db x-trackers DAX UCITS ETF (DR) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เยอรมนี เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์เยอรมนี (DAX) กองทุนมีอายุโครงการประมาณ 8 เดือน หรือสามารถเลิกโครงการก่อนครบกำหนดอายุโครงการ หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 8%
โดยกองทุนหลักดังกล่าวจะลงทุนในบริษัทชั้นนำของโลกที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเยอรมนี (DAX) เช่น ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ บีเอ็มดับเบิลยู (BMW), เดมเลอร์ (Daimler) ผู้ผลิตรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์, โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) รวมถึงธุรกิจชั้นนำอย่าง อลิอันซ์ (Allianz) ธุรกิจประกันรายใหญ่ของโลก, ดอยช์แบงก์ (Deutsche Bank) ธุรกิจการเงินรายใหญ่ของโลก, ไบเออร์ (Bayer) บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการดูแลสุขภาพ, ซีเมนส์ (Siemens) บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, อาดิดาส (Adidas) แบรนด์อุปกรณ์กีฬาระดับโลก เป็นต้น โดยบริษัทชั้นนำดังกล่าวมีกลุ่มลูกค้าอยู่ทั่วโลก และมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและยุโรป
โดยผลการดำเนินงานของบริษัทชั้นนำที่โดดเด่น อาทิ Bayer ได้ประกาศตัวเลขในไตรมาส 1 ของปีนี้ออกมา ปรากฏว่ามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเพิ่มขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับช่วยเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กลุ่ม Daimler มียอดขายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปีเพิ่มขึ้นรวม 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บริษัทชั้นนำอื่นๆ ก็มีการเติบโตทางธุรกิจไปในทิศทางเดียวกันเช่นเดียวกัน
นายสาห์รัชกล่าวว่า ความน่าสนใจของการลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมนีอยู่ที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในยุโรป โดยในไตรมาสแรกเศรษฐกิจเยอรมนีมีตัวเลขการขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี และดีกว่าประเทศอื่นในยุโรป ขณะที่กลุ่มยูโรโซนขยายตัวเพียง 0.2% และเยอรมนีมีอัตราการว่างงานเพียง 5% ซึ่งต่ำมากหากเทียบกับกลุ่มประเทศในยุโรปที่ส่วนใหญ่มีอัตราการว่างงานตั้งแต่ 10-25% และที่สำคัญผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในเยอรมนียังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศในยูโรโซนด้วยกัน โดยปัจจุบันดัชนี DAX ของเยอรมนีซื้อขายที่ระดับ P/E ประมาณ 13.8 เท่า ต่ำกว่าดัชนี Europe STOXX600 ซึ่งเทรดที่ P/E ราว 15.4 เท่า และคาดว่าในปี 2558 ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะมีการเติบโตอยู่ที่ 14% ทำให้ตลาดเยอรมนีมีอัปไซด์อยู่ที่ 16%
“กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมนี ดังนั้นผู้ลงทุนจึงเปรียบเสมือนได้ลงทุนในตลาดหุ้นชั้นนำของโลกเหล่านี้ และจากปัจจัยด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจยุโรป แนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมนีจึงถือเป็นตลาดที่น่าสนใจลงทุนมากในช่วงนี้ โดย บลจ.ทิสโก้ถือเป็นเจ้าแรกในไทยที่ออกกองทุนนี้ และมั่นใจว่าจะได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดีแน่นอน” นายสาห์รัช
ด้าน นางสาวณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี จำกัด กล่าวว่า หลังจากกองทุนเปิด T11 ได้เข้าลงทุนหุ้นไทยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2557 ที่ผ่านมา ล่าสุด บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) สามารถสร้างผลตอบแทนของกองทุนเปิด T11 ที่ 5% ด้วยเวลาเพียง 2 เดือน 27 วัน ท่ามกลางปัจจัยกดดันของความไม่แน่นอนสถานการณ์การเมือง และในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเล็งเห็นโอกาสการลงทุนที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์การเมืองในประเทศที่คลี่คลายและมีความชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจะเป็นแรงสนับสนุนการบริหารกองทุนให้สร้างผลตอบแทนเป้าหมายอีก 5% ที่เหลือ
สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะได้รับปัจจัยสนับสนุนการลงทุนจากสถานการณ์การเมืองที่มีความชัดเจนเพื่อกลับเข้าสู่การเลือกตั้งอีกครั้ง ในขณะที่ปัญหาเรื่องการจ่ายเงินจำนำข้าวที่ได้รับการแก้ไข ปัจจัยที่ต้องติดตามเพิ่มเติมคือนโยบายด้านเศรษฐกิจ รวมไปถึงงบประมาณการลงทุนจากภาครัฐในปี 2557-2558 โดยเบื้องต้นเน้นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยและอัตราการขยายตัวของกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยคาดการณ์การเติบโตของผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-15% และ SET Index น่าจะมีโอกาสปรับตัวสู่ระดับ 1,450-1,500 จุดในปี 2557 นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริหารกองทุนเปิด T11 เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนเป้าหมายอีก 5%