บลจ.ทิสโก้ชี้หุ้นไทยอัปไซด์น้อย แต่เชื่อทำกำไรได้หากลงทุนช่วงดัชนีต่ำกว่า 1,300 จุดได้ พร้อมแนะโยกเงินลงทุนออกต่างประเทศมากขึ้น ย้ำหุ้นเอเชียเหนือเด่นสุด รับอานิสงส์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า จากที่บริษัทได้เสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% # 16” (TISCO Thai Equity Trigger 8% Fund # 16) ซึ่งเป็นกองทาร์เกตฟันด์ที่ลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 8% โดยจะเลิกกองทุนหากสร้างผลตอบแทนได้ถึง 8% เสนอขายไปในช่วง 14-17 ม.ค. 57 ที่ผ่านมานั้น
ล่าสุด ณ วันที่ 2 เม.ย. 57 กองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 8% โดย NAV อยู่ที่ 10.8144 บาท ทำให้เข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการได้ก่อนกำหนด โดยใช้ระยะเวลาเพียง 2 เดือนกว่าเท่านั้น นับเป็นอีกกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ที่สร้างผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ และแสดงถึงความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการกองทุนทั้งด้านมุมมองที่แม่นยำ และการจับจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมได้เป็นอย่างดี
“จังหวะเวลาที่เราเลือกเสนอขายกองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% # 16 ดังกล่าว เป็นช่วงที่หุ้นไทยมีการแกว่งตัวในระยะสั้นๆ ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเรื่องสถานการณ์ทางการเมือง และการปรับฐานที่เกิดขึ้นทำให้ราคาหุ้นพื้นฐานดีในตลาดหุ้นไทยหลายตัวมีระดับราคาที่ไม่สูงนัก ทิสโก้จึงมองว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยดังกล่าวเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนเพื่อเทรดทำกำไรระยะสั้น ซึ่งดัชนีในช่วงที่เราเข้าลงทุนอยู่ที่ต่ำกว่า 1,300 จุด ขณะที่ปัจจุบันดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 1,390 จุด เป็นระดับที่กองทุนทำกำไรได้ 8% เข้าเงื่อนไขการปิดกองทุนก่อนกำหนด ใช้เวลาในการบริหารกองทุนเพียง 2 เดือนกว่าเท่านั้น นับเป็นผลงานบริหารกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่โดดเด่นอีกกองทุนหนึ่ง หลังก่อนหน้านี้ทิสโก้มีผลงานบริหารกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่โดดเด่นมาอย่างต่อเนื่อง” นายสาห์รัชกล่าว
นายสาห์รัชกล่าวว่า ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) มีมุมมองว่าตลาดหุ้นไทยในปีนี้ไม่ใช่ตลาดที่สามารถตอบโจทย์การลงทุนได้ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากระดับดัชนีปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,390 จุด ขณะที่เป้าหมายดัชนีที่ทิสโก้มองไว้อยู่ที่ 1,420 จุด ทำให้มีอัปไซด์เหลืออยู่เพียง 2-3% เท่านั้น อีกทั้งตลาดหุ้นไทยยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยด้านการเมือง และแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ส่อแววว่าอาจต้องมีการทบทวนและปรับลดตัวเลขการขยายตัวในที่สุด ทำให้ตลาดหุ้นไทยจึงไม่ใช่คำตอบหลักในการลงทุน แต่เหมาะสำหรับการลงทุนแบบทำกำไรระยะสั้น หากดัชนีมีการปรับฐานลงมาในระดับที่ต่ำกว่า 1,300 จุด ซึ่งในส่วนของ บลจ.ทิสโก้มองว่าหากดัชนีปรับฐานลงทุนที่ระดับดังกล่าวอาจมีการพิจารณาเปิดเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์หุ้นไทยอีกครั้ง
ทั้งนี้ TISCO Wealth แนะนำกลยุทธ์ลงทุนด้วยการให้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเหนือ (จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้) และญี่ปุ่น ที่โดดเด่นจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ตลาดหุ้นดังกล่าวเป็นตลาดที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกในปีนี้