บลจ.ทิสโก้แนะหอบเงินลงหุ้นต่างประเทศ มองเงินทุนจะไหลเข้าตลาดเอเชียที่ราคายังถูก อย่างญี่ปุ่น จีน ขณะที่หุ้นไทยยังโดนการเมืองกดดัน พร้อมจับจังหวะออกกองทริกเกอร์ฟันด์ มองดัชนีปีนี้ระดับ 1,420 จุด ต่ำสุด 1,180 จุด
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในปี 2554 นี้ยังคงเป็นปีที่ดีสำหรับการลงทุนในหุ้น ซึ่งความเสี่ยงต่างๆได้คลี่คลายลงไปมาก หุ้นจึงมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องเลือกมากขึ้นเช่นกัน หลายตลาดเริ่มมีราคาแพง จึงต้อมองหาตลาดที่ราคายังไม่ขึ้นไปสูงและยังให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งในปีนี้ตลาดในภูมิภาคเอเชียเหนือ อย่างญี่ปุ่น จีน มีความน่าสนใจเนื่องจากราคาหุ้นไม่สูง ตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่เติบโตขึ้น
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีความน่าสนใจลงทุนน้อยลง เนื่องจากตลาดได้สะท้อนภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตั้งแต่ในปีที่ผ่านมา และราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มองว่าการซื้อขายที่ Forward P/E และ P/B ณ ระดับปัจจุบัน แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังเชิงบวกของนักลงทุนต่อการเติบโตของกำไรไปแล้ว ทำให้ Upside มีค่อนข้างจำกัด หรืออาจหาจังหวะลงทุนได้เมื่อราคาหุ้นมีการปรับฐานอย่างน้อย 10% จึงเป็นโอกาสเข้าลงทุน
“ทางทิสโก้แนะนำให้นักลงทุนออกไปลงทุนในตลาดต่างประเทศมากขึ้น ตลาดที่น่าสนใจคือ กลุ่มเอเชียเหนือ และมองว่าเงินลงทุนน่าไหลกลับมาที่ตลาดเอเชียอีกเพราะยังมีบางตลาดที่ราคาถูก แต่ก็ยังคงให้น้ำหนักในตลาดสหรัฐฯ ยุโรป”
ภาพรวมเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นในปีนี้ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำต่อไป ขณะที่จีนก็มีแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงมีความมั่นใจต่อตลาดมากขึ้น ส่วนราคาน้ำมันในปีนี้ยังมีซัปพลายการผลิตที่สูงในตลาดโลก ทำให้ราคาน้ำมันไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ
ด้านตลาดหุ้นไทย ยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยด้านการเมืองที่ยังคงยืดเยื้อ รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง ทำให้ดัชนีหุ้นไทยยังมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างจำกัด โดยคาดว่าดัชนีในปีนี้จะอยู่ที่ 1,420 จุด ที่ระดับ PE 13.5 เท่า และมองจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,180 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียนมองว่าน่าจะเติบโตอยู่เพียงระดับ 10% จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะโตระดับ 15% ซึ่งทาง บลจ.ทิสโก้ก็มองจังหวะที่จะออกกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ หากดัชนีปรับตัวลงมาถึงระดับที่น่าสนใจ แต่เลือกเน้นเลือกหุ้นมากขึ้น โดยหุ้นไทยที่ให้น้ำหนักเป็นกลุ่มส่งออก กลุ่มที่มีการเติบโตจากการลงทุนในต่างประเทศ และลดน้ำหนักในกลุ่มบริโภค
“ดังนั้น พอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงในระดับปานกลางนั้น แนะนำให้ลงทุนในหุ้นประมาณ 60% โดยเน้นหุ้นในต่างประเทศ กลุ่มเอเชียเหนือ จีน ญี่ปุ่น และลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐฯ ลงมา”
สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นนั้น ทองคำมีความน่าสนใจลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว นักลงทุนกล้าที่จะลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะผลตอบแทนที่สูงกว่า จึงแนะนำให้หาจังหวะลดเงินลงทุนในทองคำลงและเปลี่ยนไปถือหุ้น
ส่วนการลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศ เนื่องจากแม้ว่าผลตอบแทนหรือ Bond Yield จะปรับตัวขึ้นมาบ้างแล้วแต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในสภาวะปกติ ดังนั้น หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอัตราผลตอบแทนพันธบัตรโดยเฉพาะอายุปานกลางและยาวน่าจะปรับตัวเพิ่มได้อีก ดังนั้นมองว่ายังไม่น่าสนใจในการลงทุนในขณะนี้