ทิสโก้เวลธ์ รุกหนักปี57 ตั้งเป้าฐานลูกค้า-เอยูเอ็มโต 20% คาดเงินไหลลงทุนเพิ่ม หลังโครงการใหญ่ชะงัก และแบงก์จ่อเลิกระดมเงินฝาก ด้านบลจ.ทิสโก้เชียร์ลงทุนเอเชียเหนือ มั่นใจผลตอบแทนดี เศรษฐกิจรับอานิสงส์ส่งออกเพิ่มจากการฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกา ระบุเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.5% และอาจเหลือ 2% ได้หากเกิดเหตุรุนแรง
นายพิชา รัตนธรรม หัวหน้าสายธุรกิจธนบดี ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตเฉลี่ยของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM) และฐานลูกค้าของบริษัทให้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 20% ควบคู่กัน หลังจากในปีที่ผ่านมาบริษัทมีเอยูเอ็มอยู่ที่ 188,000 ล้านบาท มีฐานลูกค้า 118,000 ราย
ทั้่งนี้ สัดส่วนลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีการลงทุนกับบริษัทเกินกว่า 5 ล้านบาทถึง 82% และอีก 18% จะเป็นกลุ่มที่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท โดยกลยุทธ์ในปีนี้บริษัทจะเน้นการเป็นผู้นำด้านที่ปรึกษาการลงทุนต่างประเทศที่ครอบคลุมทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ และเชื่อว่าลูกค้ากลุ่มนี้น่าจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ภายหลังจากที่ปัจจุบันสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์มีอยู่เยอะเกินไป
"จากตัวเลขของแบงก์ชาติเงินฝากแบงก์ในระดับ 1-20ล้านบาทมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก ซึ่งภายหลังจากโครงการใหญ่ของภาครัฐต้องชะงักไปนั้น เชื่อว่าแบงก์คงไม่ต้องการเงินเพิ่มเพราะมีต้นทุนอยู่ และอาจทำให้เงินไหลกลับเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้นได้"นายพิชากล่าว
นายนายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการเป็นผู้นำในกลุ่มกองทุนต่างประเทศและกองทุนหุ้นเป็นหลักโดยมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน ในกลุ่มกองทุนทริกเกอร์ฟันด์เองหากจะออกต้องเห็นโอกาสของตลาดขาขึ้น (Upside) ที่มากพอสมควรจึงจะออกเน้นในเรื่องของความสำเร็จเป็นสำคัญ ดังจะเห็นได้จากโครงสร้างกองทุนของบริษัทประมาณ 55% เป็นกองทุนหุ้น ในขณะที่อุตสาหกรรมมีหุ้นเฉลี่ยประมาณ 24% เท่านั้น แต่จะไปหนักสินทรัพย์ที่เป็นตราสารหนี้ถึง 58% ในขณะที่บริษัทมีตราสารหนี้ประมาณ 26% เท่านั้น
“ในปี56 บริษัทออกกองทุนใหม่ทั้งหมด 29 กองทุน โดยเป็นกองทุนหุ้นทั้งหมด ในจำนวนนี้เป็นกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ 23 กองทุน โดยในปีนี้บริษัทยังมุ่งพัฒนากองทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ซึ่งเป็น 2 กลุ่มประเทศดาวเด่นที่มีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง”
ด้านนายกำพล อดิเรกสมบัติ หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวถึงภาพรวมของสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในปีนี้ว่า ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่าประเทศที่น่าสนใจและแนะนำให้ลงทุนในปีนี้ คือ ญี่ปุ่น และเอเชียเหนือ โดยคาดการณ์ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนในดัชนี Nikkei 225 จะเติบโตขึ้นราว 17% ในปี57 นี้ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น สหรัฐและยุโรป ซึ่งแนวโน้มการเติบโตของกำไรอยู่ที่ประมาณ 7-10% เท่านั้น ในขณะที่ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/B) ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว สำหรับกลุ่มประเทศเอเชียเหนืออันประกอบด้วยจีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เป็นกลุ่มประเทศที่น่าสนใจเข้าลงทุนในปีนี้เช่นเดียวกันราคายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
“ส่วนเศรษฐกิจไทยเองในปีนี้มองว่าจะเติบโตได้ในระดับ 2.5% เท่านั้น และในกรณีที่แย่จริงๆ อาจจะโตได้แค่ 2.0% เท่านั้น โดยมองว่าในปีนี้ภาพรวมของไทยคงมีเพียงรัฐบาลรักษาการณ์ที่ยังไม่สามารถตัดสินใจในเชิงนโยบายได้อย่างแท้จริง”