เมืองไทยประกันภัย ลั่นปี 57 กวาดเบี้ยทะลุ 10,000 ล้านบาท สบช่องเปิดเสรีอาเซียนลุยตลาดรถบรรทุก-รถพ่วงเพิ่ม มั่นใจการขนส่งหลังเปิด AEC ช่วยหนุน สุดปลื้มผลงานปี 56 ฟันกำไร 772 ล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์หลังควบรวมกับภัทร พร้อมตั้งเป้ายิลด์ลงทุนปีนี้ 6% เน้นกระจายเสี่ยงลงทุนต่างประเทศ
นางนวลพรรณ ล่ำซ่ำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตของเบี้ยประกันรับที่ 10,350 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นประกันภัยรถยนต์ (Motor) 47% และเป็นประกันภัยทั่วไป (Non-Motor) 53%
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนพัฒนาช่องทางด้านจัดจำหน่ายต่างๆ ทั้งช่องทางธุรกิจขายตรง ช่องทางธุรกิจนายหน้า ช่องทางขายธุรกิจตัวแทน ช่องทางพันธมิตรธุรกิจรถยนต์ ช่องทางแบงก์แอสชัวร์รันส์ และช่องทางเครือข่ายพันธมิตร สำหรับช่องทางที่มีอัตราการขยายตัวค่อนข้างสูง คือช่องทางธุรกิจตัวแทนและช่องทางแบงก์แอสชัวร์รันส์
นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าจะเข้าไปขยายตลาดในส่วนของรถยนต์ขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากเห็นถึงโอกาสการขยายตัวของรถยนต์ประเภทนี้จากการเปิดเสรีอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเชื่อว่าการขนส่งโดยรถบรรทุกและรถพ่วงจะมีความสำคัญมากขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งบริษัทมีความพร้อมที่จะรับประกันทั้งในส่วนของตัวรถและสินค้า
“รถยนต์ขนาดใหญ่ตอนนี้เป็นตลาดที่น่าสนใจ ในปีนี้เบี้ยน่าจะโตได้อีกถึง1พันล้านบาท ซึ่งภาพรวมเบี้ยของรถประเภทนี้จะอยู่ที่ประมาณ 8 พันล้านบาท จากเบี้ยรถยนต์รวม 1.2 แสนล้านบาท แต่เราก็ต้องเลือกงานเหมือนกันเพราะรถขนาดใหญ่ความเสี่ยงจะมากขึ้น และราคามันจะสูงปัจจุบันอยู่ที่ 3-4 ล้านบาทแล้ว โดยบริษัทที่ทำตลาดนี้มีอยู่4-5บริษัทที่มีศักยภาพ เช่น เมืองไทยประกันภัย วิริยะ สินมั่นคง และกรุงเทพที่กำลังเข้ามาเหมือนกัน”
นางนวลพรรณกล่าวอีกว่า นอกจากแนวโน้มการดำเนินงานในปีนี้แล้ว ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2556 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมีกำไรสุทธิ 772.4 ล้านบาท สูงสุดนับแต่มีการควบรวมกิจการกับภัทร หลังจากในปี55 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิที่ 862.5 ล้านบาท เนื่องจากการบันทึกสินไหมกรณีเหตุการณ์อุทกภัยจำนวน 1,534.4 ล้านบาท โดยมีผลกระทบขาดทุนสุทธิหลังภาษีประมาณ 1,228 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สินไหมดังกล่าวได้จ่ายชำระให้ผู้เอาประกันภัยไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ ทำให้สามารถปรับลดค่าใช้จ่ายสินไหมลงเป็นจำนวน 260.1 ล้านบาท เป็นผลให้มีผลกำไรสุทธิปีนี้สูงถึง 772.4 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ สามารถจัดโครงสร้างการประกันภัยต่อได้ดียิ่งขึ้น เป็นผลให้ต้นทุนเกี่ยวกับการประกันภัยต่อลดลงตามลำดับภายหลังเหตุการณ์ต่างๆ เข้าสู่ภาวะปกติ โดยบริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 8,891.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,388.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 18.5% นอกจากนี้ บริษัทฯ มีรายได้และผลกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์รวม 362.5 ล้านบาท
ตั้งเป้ายิลด์ลงทุน6%
นางนวลพรรณ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนจากการลงทุนปีนี้ที่ 6% ขณะที่ข่วงปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ 5.29% การเพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากการปรับแผนการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากตอบแทนดังกล่าวเมื่อเทียบกับตลาดทุนไทยมีอัตราสูงกว่ามาก
สำหรับพอร์ตการลงทุนของบริษัทในปัจจุบันมีประมาณ 7,500 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นลงทุนในตราสารทุนประมาณ 23% คิดเป็นวงเงิน 1,700 ล้านบาท ตราสารหนี้ 53% คิดเป็น 3,800 ล้านบาท และเงินฝากประมาณ 26.7% คิดเป็นวงเงิน 1,900 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าอัตราการเติบโตของเบี้ยรวมปีนี้ต่อเพิ่มขึ้น ส่งผลให้พอร์ทลงทุนดังกล่าวปีนี้แตะที่ 8,500 ล้านบาท
ส่วนแผนการลงทุนปีนี้ นอกจากบริษัทฯ จะกระจายความเสี่ยงไปยังต่างประเทศแล้ว ด้านตลาดทุนไทยหากดัชนีมีการปนับตัวลงประมาณ 5-10% บริษัทจะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์พื้นฐานดีมีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง เน้นกลุ่มบริษัทที่มีความสารถในการทำกำไรและเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจต่างประเทศเป็นหลัก รวมถึงการเข้าลงทุนในกองทุนอังหาริมทรัพย์มากขึ้น เนื่องจากกองทุนดังกล่าวอัตราผลตอบแทนดี พร้อมกันนี้บริษัทเตรียมหาบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) เข้ามาช่วยบริหารเพิ่มเติมเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง