บลจ.ไทยพาณิชย์เพิ่มทุนกองอสังหาฯ ไพรม์ออฟฟิศมูลค่าไม่เกิน 2,094 ล้านบาท พร้อมขอมติผู้ถือหน่วย 3 ธ.ค.นี้ ลงทุนบางนา ทาวเวอร์
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไพรม์ออฟฟิศ หรือ Prime Office Leasehold Property Fund (POPF) เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมแผนเพิ่มทุนกองทุน POPF มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 2,094 ล้านบาท เพื่อลงทุนเพิ่มเติมในสิทธิการเช่าโครงการบางนา ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานเกรด B เป็นระยะเวลา 30 ปี จากปัจจุบันที่กองทุนลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารสำนักงานเกรด B ในทำเลถนนสุขุมวิท ได้แก่อาคารยูบีซี 2 (สมัชชาวาณิช 2) และอาคารเพลินจิต เซ็นเตอร์ โดยจะขอมติที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 3 ธันวาคมนี้
สำหรับโครงการบางนา ทาวเวอร์ เป็นโครงการอาคารสำนักงานและคุณภาพ ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 6.5 ก่อนถึงศูนย์การค้าเมกะบางนา และตั้งอยู่ห่างจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิประมาณ 20 กิโลเมตร โดยทำเลดังกล่าวถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เนื่องจากเป็นเส้นทางการคมนาคมการค้าที่สำคัญ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบสามารถตอบสนองความต้องการของผู้เช่าและผู้มาใช้บริการภายในโครงการ นอกจากนี้ อาคารดังกล่าวยังมีผลประกอบการที่ดี มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย (Occupancy Rate) ระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2554-สิ้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2556 ที่อัตราค่อนข้างสูงประมาณ 97-99% และมีศักยภาพในการเติบโตของค่าเช่า โดยอัตราค่าเช่าเฉลี่ยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวประมาณ 5% ต่อปี และในช่วงปี พ.ศ. 2553-2555 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 13%
“การลงทุนเพิ่มในโครงการบางนา ทาวเวอร์ ถือเป็นนโยบายสร้างการเติบโตให้แก่กองทุน POPF ซึ่งเน้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงาน เพื่อทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีในระยะยาว ตลอดจนเป็นการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินให้แก่กองทุนรวมด้วยเช่นกัน” นางโชติกากล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน POPF ตั้งแต่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2554 จนถึงปัจจุบันกองทุนสามารถจ่ายผลตอบแทนในรูปเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนไปแล้ว 10 ครั้ง รวมทั้งสิ้นประมาณ 2.47 บาทต่อหน่วย คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลตั้งแต่จัดตั้งกองทุนต่อราคาเสนอขายครั้งแรกเฉลี่ยประมาณ 9.9% ต่อปี นอกจากนี้ยังมีมูลค่าของหน่วยลงทุนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 12.50 บาท (ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556) จากมูลค่าราคาเสนอขายครั้งแรก 10 บาท