บลจ.ธนชาตเผย AUM โต 10% คาดสิ้นปีนี้แตะ 1.35 แสนล้านบาท เตรียมออกองทุน RMF หุ้นต่างประเทศ
กองทุนตราสารหนี้ รวมทั้งกองผสม ในปีนี้มองหุ้นไทยยังไปต่อได้
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้บริษัทมีแผนออกกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ลงทุนในหุ้นทั่วโลก เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว จึงออกกองทุนเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน อีกทั้งมีแผนออกกองทุนตราสารหนี้มูลค่า 4,000 ล้านบาทรองรับผู้เกษียณอายุ โดยกองทุนมีอายุ 3 ปี มีจุดเด่นที่จะจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนทุกเดือนประมาณ 3.2% ต่อปีขึ้นไป ลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ สำหรับผู้ลงทุน 50,000 บาทจะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรีสูงสุดคุ้มครอง 3 ล้านบาท โดยคาดว่าจะออกขายได้ประมาณเดือน ต.ค.นี้
นอกจากนี้จะออกกองทุนรวมแบบผสม เน้นลงทุนในหุ้นไทย 20% ตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ 80% หลังจากกองทุนเปิดธนชาต Mixed Income Fund 1 (T-MixedIncome1) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมากและปิดการขายก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 17-23 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมีแผนจะออกอีก 1-2 กองทุน เพื่อเป็นทางเลือกในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังต่ำอีกนานและตราสารหนี้ต่างประเทศบางประเทศอาจให้ผลตอบแทนสูง
นายบุญชัย กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ สามารถขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เติบโตประมาณ 10% จาก 1.2 แสนล้านบาท มาอยู่ที่ 1.32 แสนล้านบาทในปัจจุบันและคาดว่าสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1.35 แสนล้านบาท โดยการเติบโตในปีนี้มาจากกองทุนรวมเป็นหลัก
โดยปีนี้ไม่มีแผนออกกองทุนลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากเรามีกองทุนที่ซื้อหุ้นทั่วโลกอยู่แล้ว อีกทั้งอยากเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ชัดเจนมากกว่านี้ จึงคาดว่าในปีหน้าจะออกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นภูมิภาค เช่น ยุโรป สหรัฐฯ เป็นต้น และคงจะออกเป็นทริกเกอร์ฟันด์
ส่วนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไม่มีแผนออกแน่นอน ขณะที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานขึ้นอยู่กับธนาคารธนชาต ซึ่งเป็นบริษัทแม่ เนื่องจากส่วนใหญ่การจัดตั้งกองทุนประเภทนี้จะมาจากลูกค้าของธนาคารเป็นหลัก
“บริษัทแนะนำลูกค้าให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลัก โดยมองเป้าหมานดัชนีสิ้นปีอยู่ที่ประมาณ 1,500 กว่าจุด และยังต้องจับตาผลประกอบการไตรมาส 3 ตัวเลขการส่งออกและการเติบโตของจีดีพีในไตรมาส หากทุกอย่างไม่ได้แย่อย่างที่คิดคาดว่าจะดึงเงินลงทุนต่างชาติกลับมาได้"
นายบุญชัยกล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล หลังจากบริษัทได้รับการแต่งตั้งให้บริหารเงินกองทุนย่อยภายในประเทศของกองทุนประกันสังคม วงเงิน 9,000 ล้านบาท ระยะสัญญาจ้าง 5 ปี ส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปัจจุบันอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท ก็จะเพิ่มเป็น 18,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมกองทุนประกันสังคมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ มูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกันความเสี่ยงจากการลงทุนซึ่งจะนำเสนอต่อสำนักงานประกันสังคมในสัปดาห์หน้า เนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่ประกันสังคมได้เพิ่มเข้ามาหลังจากบริษัทเป็นบริษัทเดียวที่ผ่านเกณฑ์และได้รับคัดเลือกให้บริหารกองทุน
“เราได้บริหารกองทุนประกันสังคมมาต่อเนื่อง โดยกองทุนที่บริหารอยู่ในตอนนี้มีกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งบริหารเป็นปีที่ 4 และยังมีกองทุนที่ลงทุนในประเทศ วงเงิน 6,000 ล้านบาท เน้นลงทุนตราสารหนี้ 80% และหุ้น 20% ซึ่งจะครบกำหนดในปีหน้า” นายบุญชัยกล่าว
ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น ต้องยอมรับว่ายังมีขนาดสินทรัพย์เพียง 10,000 ล้านบาท บริษัทคงไม่แข่งขันเรื่องการตัดราคาเหมือนรายอื่น
กองทุนตราสารหนี้ รวมทั้งกองผสม ในปีนี้มองหุ้นไทยยังไปต่อได้
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้บริษัทมีแผนออกกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ลงทุนในหุ้นทั่วโลก เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว จึงออกกองทุนเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน อีกทั้งมีแผนออกกองทุนตราสารหนี้มูลค่า 4,000 ล้านบาทรองรับผู้เกษียณอายุ โดยกองทุนมีอายุ 3 ปี มีจุดเด่นที่จะจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนทุกเดือนประมาณ 3.2% ต่อปีขึ้นไป ลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ สำหรับผู้ลงทุน 50,000 บาทจะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรีสูงสุดคุ้มครอง 3 ล้านบาท โดยคาดว่าจะออกขายได้ประมาณเดือน ต.ค.นี้
นอกจากนี้จะออกกองทุนรวมแบบผสม เน้นลงทุนในหุ้นไทย 20% ตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ 80% หลังจากกองทุนเปิดธนชาต Mixed Income Fund 1 (T-MixedIncome1) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมากและปิดการขายก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 17-23 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมีแผนจะออกอีก 1-2 กองทุน เพื่อเป็นทางเลือกในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังต่ำอีกนานและตราสารหนี้ต่างประเทศบางประเทศอาจให้ผลตอบแทนสูง
นายบุญชัย กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ สามารถขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เติบโตประมาณ 10% จาก 1.2 แสนล้านบาท มาอยู่ที่ 1.32 แสนล้านบาทในปัจจุบันและคาดว่าสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1.35 แสนล้านบาท โดยการเติบโตในปีนี้มาจากกองทุนรวมเป็นหลัก
โดยปีนี้ไม่มีแผนออกกองทุนลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากเรามีกองทุนที่ซื้อหุ้นทั่วโลกอยู่แล้ว อีกทั้งอยากเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ชัดเจนมากกว่านี้ จึงคาดว่าในปีหน้าจะออกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นภูมิภาค เช่น ยุโรป สหรัฐฯ เป็นต้น และคงจะออกเป็นทริกเกอร์ฟันด์
ส่วนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไม่มีแผนออกแน่นอน ขณะที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานขึ้นอยู่กับธนาคารธนชาต ซึ่งเป็นบริษัทแม่ เนื่องจากส่วนใหญ่การจัดตั้งกองทุนประเภทนี้จะมาจากลูกค้าของธนาคารเป็นหลัก
“บริษัทแนะนำลูกค้าให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลัก โดยมองเป้าหมานดัชนีสิ้นปีอยู่ที่ประมาณ 1,500 กว่าจุด และยังต้องจับตาผลประกอบการไตรมาส 3 ตัวเลขการส่งออกและการเติบโตของจีดีพีในไตรมาส หากทุกอย่างไม่ได้แย่อย่างที่คิดคาดว่าจะดึงเงินลงทุนต่างชาติกลับมาได้"
นายบุญชัยกล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล หลังจากบริษัทได้รับการแต่งตั้งให้บริหารเงินกองทุนย่อยภายในประเทศของกองทุนประกันสังคม วงเงิน 9,000 ล้านบาท ระยะสัญญาจ้าง 5 ปี ส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปัจจุบันอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท ก็จะเพิ่มเป็น 18,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมกองทุนประกันสังคมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ มูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกันความเสี่ยงจากการลงทุนซึ่งจะนำเสนอต่อสำนักงานประกันสังคมในสัปดาห์หน้า เนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่ประกันสังคมได้เพิ่มเข้ามาหลังจากบริษัทเป็นบริษัทเดียวที่ผ่านเกณฑ์และได้รับคัดเลือกให้บริหารกองทุน
“เราได้บริหารกองทุนประกันสังคมมาต่อเนื่อง โดยกองทุนที่บริหารอยู่ในตอนนี้มีกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งบริหารเป็นปีที่ 4 และยังมีกองทุนที่ลงทุนในประเทศ วงเงิน 6,000 ล้านบาท เน้นลงทุนตราสารหนี้ 80% และหุ้น 20% ซึ่งจะครบกำหนดในปีหน้า” นายบุญชัยกล่าว
ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น ต้องยอมรับว่ายังมีขนาดสินทรัพย์เพียง 10,000 ล้านบาท บริษัทคงไม่แข่งขันเรื่องการตัดราคาเหมือนรายอื่น
