xs
xsm
sm
md
lg

ONEรับAUMไม่ได้ตามเป้า หลังเจอปัญหาเศรษฐกิจผันผวน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.วรรณ ชะลอออกองทุน หลังเจอปัญหา QE กระทบหุ้นไทยผันผวน โดยเฉพาะหุ้นบิ๊กแคปปรับลง 30% รับ AUM ไม่เป็นไปตามเป้า เพราะชะลอออกกองทุนใหม่ แนะนักลงทุนซื้อได้ กลุ่มน่าสนใจ แบงก์ , สื่อสาร , พลังงาน , ก่อสร้าง มองดัชนีหุ้นไทย ที่ 1,526 จุด

นายวิน อุดมรัชตวิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ความผันผวนของตลาดทุนไทยในปัจจุบัน ส่งผลให้บริษัทจำเป็นต้องหยุดชะงักแผนการออกกองทุนใหม่ๆต่างๆออกไปจนไปถึงช่วงปี 2557 โดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นและกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ ซึ่งความผันผวนที่มีอยู่ในขณะนี้ถือเป็นความเสี่ยงต่อการลงทุนค่อนข้างมาก แต่เชื่อว่าไม่กระทบต่อฐานลูกค้าบริษัทที่มีอยู่แต่อย่างไร เพราะkผ่านมาบริษัทได้ออกกองทุนรวมต่างๆไปครบทุกประเภท ดังนั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงให้กับลูกค้าและบริษัท จึงจำเป็นต้องหยุดแผนการออกกองทุนรวมไปก่อน

สำหรับสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ปีนี้ตั้งเป้าหมายเติบโตที่ 20% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 84,000 ล้านบาท แต่การปรับแผนบริหารใหม่ ส่งผลให้ AUM ไม่สามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้ ซึ่งปัจจุบัน AUM บริษัทอยู่ที่ 79,000 ล้านบาท ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี ดังนั้น หลังจากนี้ไปบริษัทจะพยายามรักษามูลค่าดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปีนี้

"ช่วงนี้ยอมรับว่า การลงทุนมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เดาใจสถานการณ์ลำบาก บริษัทก็ไม่อยากเสี่ยงเพิ่มทำให้ต้องมีการปรับแผนการบริหารใหม่ โดยหยุดการออกกองทุนใหม่ๆเข้าสู่ตลาดถือว่าเป็นการช่วยลดความเสี่ยงให้กับบริษัทและตัวลูกค้าด้วย จึงเป็นเรื่องดีมากกว่า" นายวิน กล่าว

นายวิน กล่าวต่อว่า สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ มองว่า หลังเดือนกันยายนหุ้นไทยมีโอกาสกลับมารีบราวน์ได้ใหม่ ตามเม็ดเงินลงทุนนอกกลับมาไหลเข้าประเทศอีกครั้ง แม้ว่าการไหลเข้าดังกล่าวจะเป็นเพียงระยะสั้นก็ตาม เนื่องจาก ความชัดเจนเรื่องมาตราการการเงินเชิงนโยบาย QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 กันยายนนี้
ดังนั้น ช่วงที่ดัชนีปรับฐานรับปัจจัยดังกล่าวและดัชนียังไม่หลุดระดับที่ 1,250 จุด นักลงทุนควรหาจังหวะเหมาะสมเข้าลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มต่างๆเพิ่ม ทั้งหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มปิโตเคมี-พลังงาน กลุ่มรับเหมาก่อสร้างฯลฯ เป็นต้นเนื่องจาก ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก สำหรับกลุทธ์การลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นบิ๊กแคปที่ราคาปรับตัวลงมากว่า 30% เป็นหลัก เพราะถือเป็นราคาที่เหมาะแก่การเข้าลงทุนมากที่สุด

สำหรับความผันผวนจากการลงทุน เชื่อว่า ยังคงมีต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยลบสำคัญยังคงมีอยู่ ทั้งในเรื่องของการชะลอเม็ดเงินลงทุน QE การปรับตัวลดลงของเศรษฐกิจเอเชีย การปรับตัวลดลงของเศรษฐกิจไทย อละปัญหาทางการเมืองไทย ซึ่งปัจจัยลบดังกล่าวยังไร้ความชัดเจนของปัญหา โดยเฉพาะเรื่อง QE คือปัจจัยลบหลักที่ตลาดหุ้นไทยตอบสนองค่อนข้างมาก
"การชะลอเม็ดเงินลงทุนตามแนวคิดของเฟดในครั้งนี้ ถือว่าเป็นผลดีที่จะช่วยให้ค่าเงินกลับมาอ่อนค่ามากขึ้น เป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมส่งออก ดังนั้น หากนักลงทุนเข้าลงทุนตามปัจจัยบวกดังกล่าว ควรเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มปิโตเคมีและพลังงานเป็นหลัก สำหรับกรอบดัชนีหุ้นไทยทั้งปีปรับลงจาก 1,640 จุด มาอยู่ที่ 1,526 จุด ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่าระดับ 1,250 จุด นักลงทุนควรเลี่ยงการลงทุนทันที" นายวิน กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น