ฟิลลิปออกระบบออมเงินลงทุน Funds Builder Plan (FBP) ลงทุนเฉลี่ยทุกเดือน เลือกลงทุนกับ 22 บลจ.เพื่อสร้างผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ ชี้ ศก.ไทยชะลอจากการส่งออกลด มองหุ้นไทยอาจหลุดไป 1,350 จุด และทดสอบ 1,600 ในช่วงปลาย
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล นักวิเคราะห์กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทางฟิลลิปยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะเติบโตที่ระดับ 4.5% โดยในช่วงครึ่งปีหลังมีการชะลอตัวลงมา เนื่องจากปัจจัยในประเทศเรื่องหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการรถคันแรกของรัฐบาล รวมถึงการเบิกจ่ายโครงการของภาครัฐที่เลื่อนออกไปสู่ปีหน้า ขณะที่ปัจจัยในต่างประเทศคือการที่เศรษฐกิจชะลอการเติบโตลงมาสู่ระดับ 7% ซึ่งมีผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทย
ทั้งนี้ แม้ตัวเลขการจ้างงานต่ำ แต่ก็มีปัญหาเรื่องขาดแคลนแรงงาน การผลิตไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นภาคเอกชนจึงคำนึงถึงในเรื่องการขยายการลงทุน ส่วนอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวไม่สูงเท่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากเศรษฐกิจชะลอลงไปมากก็มีแนวโน้มสูงที่จะปรับลดดอกเบี้ยลง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยน่าจะกระเตื้องขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 และเติบโตที่ระดับ 5% ในปีหน้าจากการลงทุนของภาครัฐโครงการ 2 ล้านล้านบาท และส่งผลให้ภาคเอกชนมีการลงทุนตามไปด้วย
ด้านตลาดหุ้นไทยปัจจุบันราคา P/E อยู่ที่ระดับ 13 เท่าถูกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย มองว่าดัชนีน่าจะเห็นลงไปที่ระดับ 1,350 จุดอีกครั้ง และก็เคลื่อนไหวแบบด้านข้าง (Side way) และในช่วงปลายปีดัชนีอาจขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,600-1,650 จุด จากแรงซื้อกองทุน LTF/RMF ซึ่งจะมีความมั่นใจกลับมาจากเรื่อง QEสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีในช่วงปลายปี
นายสานุพงศ์ยังกล่าวว่า บล.ได้แนะนำการลงทุนรายเดือนด้วยระบบ Funds Builder Plan (FBP) โดยเริ่มต้นลงทุนเพียง 5,000 บาทต่อเดือน ระบบจะจัดการหักเงินลงทุนจากบัญชีเงินฝากอัตโนมันติ โดยเลือกลงทุนในกองทุนรวมทั้ง 22 บลจ. ซึ่งสามารถเลือกลงทุนแบบกองทุนเดียวหรือลงทุนแบบกระจายการลงทุนตามความเสี่ยงและผลตอบแทนที่รับได้ ซึ่งเหมาะสำหรับกลุ่มคนที่ทำงานและต้องการออมเงินอย่างเป็นระบบและให้ผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ รวมทั้งคนที่ต้องการเก็บเงินให้บุตรหลานในอนาคต
“เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อส่งผลให้มูลค่าเงินลดลง ขณะเดียวกันดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำไม่ชนะเงินเฟ้อ ดังนั้นการออมเงินกับกองทุนรวมทำให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวที่สูงกว่าเงินฝากมากและชนะเงินเฟ้อได้” นายสานุพงศ์กล่าว
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล นักวิเคราะห์กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทางฟิลลิปยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะเติบโตที่ระดับ 4.5% โดยในช่วงครึ่งปีหลังมีการชะลอตัวลงมา เนื่องจากปัจจัยในประเทศเรื่องหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการรถคันแรกของรัฐบาล รวมถึงการเบิกจ่ายโครงการของภาครัฐที่เลื่อนออกไปสู่ปีหน้า ขณะที่ปัจจัยในต่างประเทศคือการที่เศรษฐกิจชะลอการเติบโตลงมาสู่ระดับ 7% ซึ่งมีผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทย
ทั้งนี้ แม้ตัวเลขการจ้างงานต่ำ แต่ก็มีปัญหาเรื่องขาดแคลนแรงงาน การผลิตไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นภาคเอกชนจึงคำนึงถึงในเรื่องการขยายการลงทุน ส่วนอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวไม่สูงเท่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากเศรษฐกิจชะลอลงไปมากก็มีแนวโน้มสูงที่จะปรับลดดอกเบี้ยลง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยน่าจะกระเตื้องขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 และเติบโตที่ระดับ 5% ในปีหน้าจากการลงทุนของภาครัฐโครงการ 2 ล้านล้านบาท และส่งผลให้ภาคเอกชนมีการลงทุนตามไปด้วย
ด้านตลาดหุ้นไทยปัจจุบันราคา P/E อยู่ที่ระดับ 13 เท่าถูกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย มองว่าดัชนีน่าจะเห็นลงไปที่ระดับ 1,350 จุดอีกครั้ง และก็เคลื่อนไหวแบบด้านข้าง (Side way) และในช่วงปลายปีดัชนีอาจขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,600-1,650 จุด จากแรงซื้อกองทุน LTF/RMF ซึ่งจะมีความมั่นใจกลับมาจากเรื่อง QEสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีในช่วงปลายปี
นายสานุพงศ์ยังกล่าวว่า บล.ได้แนะนำการลงทุนรายเดือนด้วยระบบ Funds Builder Plan (FBP) โดยเริ่มต้นลงทุนเพียง 5,000 บาทต่อเดือน ระบบจะจัดการหักเงินลงทุนจากบัญชีเงินฝากอัตโนมันติ โดยเลือกลงทุนในกองทุนรวมทั้ง 22 บลจ. ซึ่งสามารถเลือกลงทุนแบบกองทุนเดียวหรือลงทุนแบบกระจายการลงทุนตามความเสี่ยงและผลตอบแทนที่รับได้ ซึ่งเหมาะสำหรับกลุ่มคนที่ทำงานและต้องการออมเงินอย่างเป็นระบบและให้ผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ รวมทั้งคนที่ต้องการเก็บเงินให้บุตรหลานในอนาคต
“เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อส่งผลให้มูลค่าเงินลดลง ขณะเดียวกันดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำไม่ชนะเงินเฟ้อ ดังนั้นการออมเงินกับกองทุนรวมทำให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวที่สูงกว่าเงินฝากมากและชนะเงินเฟ้อได้” นายสานุพงศ์กล่าว