บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ไม่หวั่นแม้ตลาดหุ้นผันผวน เน้นลงทุนระยะยาวสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง เชื่ออีก 3 ปีข้างหน้าตลาดไทยรุ่งหลังเข้า AEC เผยไตรมาส 1 เบี้ยรับรวมโต 12% มูลค่า 5.6 พันล้านบาท
นายอูลฟ์ แลงจ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงิน บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เปิดเผยว่า จีดีพีของประเทศไทยในปีนี้น่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 4% และในอีก 3 ปีข้างหน้าคาดว่ายังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากประชาคมเศรษฐกิจเอเซียน หรือ AEC จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีทิศทางการลงทุนที่ดีอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองดูแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างดีเยี่ยม อัตราการเติบโตอยู่ที่ 10% แม้ว่าในช่วงปี 2554 ประเทศไทยจะเจอกับปัญหาวิกฤตด้านอุทกภัยก็ตาม แต่จะเห็นได้ว่าในปีถัดไปการเติบโตยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 700 จุด และขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาอยู่ที่ 1,600 จุดในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2556 โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับตลาดทั่วโลก ขณะเดียวกันในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นจะมีความผันผวน แต่โดยรวมยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี
ภาพรวมการลงทุนในต่างประเทศ แม้นโยบายการเงินของสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นในยูโรโซนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาระดับโลก แม้ว่าธนาคารจีนขณะนี้ไม่สามารถยืมเงินกันได้แล้วและเป็นเรื่องยากมากขึ้น ทำให้มีกระแสเงินไหลไม่ต่อเนื่อง ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยุโรป อเมริกา และจีนยังมีการเติบโต เนื่องจากว่ารัฐบาลจีนมีเครื่องมือในการผลักดันให้โตได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่นโยบายทางการเงินสหรัฐฯ ที่กระทบต่อมาตรการ QE ที่จะลดความช่วยเหลือลง จึงมีผลกระทบต่อตลาดโลก อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อเศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้น การช่วยเหลือจึงต้องมีการปรับลดลง
ขณะที่ในส่วนของยูโรโซนจะเจอวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป แต่ขณะนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะเริ่มมีการปรับตัวที่ดีขึ้น ซึ่งหลายคนคงมองว่าแล้วมันจะมีผลกระทบอย่างไรต่อนักลงทุนนั้น เราจะเห็นได้ว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมาค่าเงินแข็งขึ้นมามาก มีกระแสเงินไหลเข้ามามากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในส่วนของพันธบัตรรัฐบาล อย่างไรก็ตาม มีนักลงทุนเริ่มไหลออกนอกประเทศเนื่องจากว่าเศรษฐกิจในต่างประเทศเริ่มดีขึ้นแล้วหลังจากที่ลดมาตรการ QE
ส่วนภาพรวมต่อการลงทุนในประเทศไทย บริษัทมองว่าตลาดหุ้นยังมีความผันผวนอยู่ และยังจะผันผวนต่อไป แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง หรืออาจจะต่ำลงไปกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตามยังมองว่าตลาดยังสามารถดึงดูดนักลงทุนช่วงระยะยาวได้อยู่ เนื่องจากว่าสภาพเศรษฐกิจไทยยังมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนอยู่ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยบริษัทเชื่อว่ายังไม่ต่ำเกินไป โดยมองว่าการเติบโตของประเทศน่าจะอยู่ที่ 4-5%
“สภาพตลาดทุนไทยได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงินโลก ความไม่แน่นอนของภาพธนาคารในจีน การพัฒนาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งวิกฤตหนี้สาธารณะในบางพื้นที่ของเขตยูโรโซนต่างมีผลกระทบต่อตลาดภายในประเทศ กระแสเงินไหลเข้า-ออกจากนักลงทุนต่างชาติจะส่งผลให้เกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่อง กระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ อัตราดอกเบี้ย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยอัตราดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำต่อไปในระยะสั้นถึงปานกลาง” นายอูลฟ์กล่าว
นายอูลฟ์กล่าวต่อไปว่า มูลค่าสินทรัพย์รวมขณะนี้อยู่ที่ 114.94 พันล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ 68.2% ลงทุนในหุ้นกู้ 21.4% ลงทุนในตลาดหุ้น 4.8% โดยในหุ้นแบ่งลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ 1.6% และลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 3.2% ลงทุนในเงินกู้กรมธรรม์ 4.8%และอื่นๆ อีก 0.7% ส่วนใหญ่แล้วเป็นการลงทุนระยะยาว
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเบี้ยประกันภัยรายปีมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 8% หรือมูลค่า 1.3 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท ส่วนเบี้ยประกันภัยรับรวมโตเพิ่ม 12% หรือมูลค่า 5.6 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 5 พันล้านบาท ขณะที่กำไรหลังหักภาษีโตเพิ่ม 26% หรือมูลค่า 649 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 515 ล้านบาท