เป็นไปตามคาดการณ์กับการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในอัตรา 0.25% โดยระบุสาเหตุการปรับลดจากการที่เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตล่าช้ากว่าที่คาดไว้ ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบที่สามารถควบคุมได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว แต่ยังมีแรงกดดันออกมาอย่างต่อเนื่องถึงการปรับลดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่านี้ และคงจะต้องจับตาดูว่าท่านผู้ว่าฯ จะมีคำตอบอย่างไร
ส่วนตลาดหุ้นไทยอย่างที่ทราบปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ และทิ้งท้ายในวันศุกร์สิ้นเดือนปรับตัวลดลงอีก 19.25 จุด ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยลงมาอยู่ที่ 1,562.07 จุด ซึ่งหลายสำนักคาดว่าหุ้นไทยในขณะนี้น่าจะปรับลดได้รวมๆ แล้วถึง 100 จุด โดยจะมีแนวรับที่ประมาณ 1,500 จุด
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของตลาดกองทุนรวมสัปดาห์นี้ยังคงเน้นการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นหลัก เนื่องจากส่วนใหญ่ยังมั่นใจกับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยและเอเชียที่จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นต่อจากนี้
โดยนายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมาการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเนื่องจากความกังวลของนักลงทุนต่อมาตรการของเฟดทำให้มีการเทขายเพื่อทำกำไรออกมา แต่เชื่อว่าสำหรับตลาดหุ้นไทยซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานดีทำให้เหมาะในการทยอยสะสมลงทุนได้ ซึ่งเทรนด์การลงทุนในขณะนี้จะให้ความสนใจเป็นราย sector อาจจะให้ความสนใจกลุ่มแบงก์ กลุ่มพลังงาน หรือกลุ่มอื่นที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ ซึ่งก็ต้องมาคลี่ดูเป็นรายบริษัทว่าแต่ละบริษัทเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันก็ต้องดูว่านักลงทุนที่ต้องการลงทุนนั้นรับความเสี่ยงและความผันผวนได้มากน้อยแค่ไหน
และลองมาดูกองทุนน่าสนใจที่เปิดขายสัปดาห์นี้จะเป็นกองทุนทาร์เกตฟันด์ โดยกองแรกมาจาก บลจ.ธนชาต เปิดขายถึงวันที่ 4 มิถุนายนนี้ โดยกลยุทธ์การลงทุนของกองทุนเปิดธนชาตชาเลนจ์ 11 (T-Challenge 11) มีเป้าหมายเพื่อให้บรรลุผลตอบแทน 8%* ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจะเป็นกองทุนผสม จึงสามารถรอจังหวะตลาดเพื่อลงทุนในหุ้นได้ ในส่วนของหุ้นจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี มีประวัติหรือประเมินว่ามีโอกาสที่จะมีอัตราการเจริญเติบโตของกำไร 10% ต่อปีขึ้นไป หรือมีกระแสเงินสดพอเพียง หรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยกลุ่มธุรกิจที่มีความน่าสนใจลงทุน เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
โดยมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยของ บลจ.ธนชาตคาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในขาขึ้นไปถึงปีหน้า แต่จะยังคงผันผวนจากการชะลอตัวของการลงทุน โดยเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปี 2557 อยู่ที่ 1,740 จุด ณ ระดับ P/E 14 เท่าจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจในประเทศที่ยังมีการเติบโตจากการบริโภค และการลงทุนจากการส่งเสริมของภาครัฐเป็นตัวสนับสนุนโดยผ่านโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ
ส่วน บลจ.เอ็มเอฟซี เจ้าแห่งกองทริกเกอร์ฟันด์เองก็เปิดขาย กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สปอท 33 ซีรี่ส์ 16 ตั้งเป้าหมายผลตอบแทน 3% สองครั้งภายใน 5 เดือน โดยจะทำการเปิดขายตั้งแต่วันที่ 3-12 มิถุนายน 2556
สำหรับกองทุนเปิด SPOT 33 ซีรี่ส์ 16 มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดยจะเน้นลงทุนในประเทศ ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนร้อยละ 3 สองครั้งรวมเป็นร้อยละ 6 ภายใน 5 เดือน โดยภายใน 5 เดือนแรกหากกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุน 10.35 บาทขึ้นไปจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในอัตราร้อยละ 3 ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท) เพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับคืนผลตอบแทนครั้งที่ 1 ในอัตราร้อยละ 3 ก่อน และบริษัทจัดการจะทำการบริหารเงินลงทุนเดิมเพื่อให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นต่อจนเข้าเงื่อนไขการเลิกกองทุนตามเป้าหมายเพื่อรับผลตอบแทนอีกร้อยละ 3 ต่อไป
ใครจะเห็นว่าเป็นโอกาสลงทุนช่วงที่หุ้นกำลังลงตกสามารถเลือกได้ตามชอบ ส่วนใครที่รับความเสี่ยงได้น้อยคงต้องหาช่องทางการลงทุนอื่นกันตามเหมาะสม แต่ที่น่ายินดีคือข้าราชการที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข. ได้ออกมาเปิดเผยถึงผลการดำเนินงานที่สามารถทำกำไรได้ถึง 133% หรือกว่า 35,408 ล้านบาท
ที่น่าจับตาอีกอย่างคือ การปรับแก้พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 นั้นจะสามารถเปิดโอกาสให้ข้าราชการสามารถเลือกกลับมาใช้ระบบบำนาญแบบเดิม หรือยังอยู่ในกองทุนได้แบบอิสระมากขึ้นคงจะมีผลชัดเจนในปีนี้ ส่วนจะมีข้าราชการมากน้อยขนาดไหนกลับมาใช้บำนาญแบบเดิมบ้างคงระบุไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ หากผลงานของกองทุนยังเด่นขนาดนี้เชื่อว่าข้าราชการที่กลับมาใช้ระบบบำนาญคงบางตา