คอลัมน์บัวหลวง Money Tips
วรวรรณ ธาราภูมิ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บลจ.บัวหลวง
1. จัดทำแผนรายได้ ค่าใช้จ่าย ประจำปี 2556
จุดเริ่มต้นดีที่สุดคือให้เริ่มจากการทำบัญชีรับจ่ายของเราและครอบครัวที่อยู่ในอุปการะของเรา โดยแยกเป็นรายเดือน เพราะเมื่อรู้ที่มาของเงินได้ กับรู้ว่าเงินเราจะออกไปจ่ายทางไหนได้บ้างแล้ว เราจะเริ่มพิจารณาวางแผนทางเลือกอย่างน้อยก็ด้านรายจ่ายได้ว่าควรจะจ่ายอะไร เมื่อไหร่ ทั้งนี้ อย่าลืมใส่รายการผ่อนชำระหนี้ และดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย (ถ้ามี) นอกจากนี้ก็ใส่รายจ่ายขาจรที่ไม่ได้เกิดประจำเป็นรายเดือน เช่น ค่าส่วนกลางคอนโดมิเนียม ค่าเล่าเรียนบุตร เบี้ยประกันชีวิตและประกันภัย ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ค่าบำรุงรักษาที่อยู่อาศัยและยานพาหนะ ค่าทำฟัน ฯลฯ
2. กันเงินสำรองฉุกเฉิน
เงินสำรองฉุกเฉินนี้เป็นส่วนที่เราจะไม่ไปใช้เลยยกเว้นมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น การเจ็บป่วย การตกงาน ฯลฯ เงินส่วนนี้สำคัญมากเพราะมันจะทำให้เราดำเนินชีวิตตามปกติ ทำให้เรามีเงินจ่ายตามภาระที่มีอยู่ไปได้ช่วงหนึ่งโดยไม่ต้องทุรนทุราย ส่วนจำนวนที่ควรกันเอาไว้นั้น แนะนำให้คำนวณว่าหากตกงานแล้วเราคาดว่าจะหางานทำได้ภายในกี่เดือน เอาจำนวนเดือนนี้ไปคูณกับรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นในระยะเดียวกัน เช่นหากเราคาดว่าอย่างเลวร้ายที่สุดเราจะหางานทำได้ใน 6 เดือน เราก็ใช้ 6 เดือนไปคูณกับรายจ่ายใน 6 เดือนข้างหน้า
เมื่อได้เงินจำนวนนี้แล้วว่าเป็นเท่าไร ก็อย่าลืมเอาไปไว้ในที่ที่ปลอดภัยและสามารถถอนออกมาใช้ได้ทันทีในยามฉุกเฉินเมื่อมีเหตุจำเป็น เช่น ฝากออมทรัพย์ หรือเอาไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ประเภทที่ให้เราถอนได้เป็นรายวันเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้เมื่อเทียบเงินฝากออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ 0.75% ต่อปีแล้ว กองทุนประเภทนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก คืออยู่ที่ประมาณ 2.3-2.6% ต่อปี ซึ่งประเด็นหลักในการตัดสินใจหากจะนำไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้นี้ก็คือ ที่ผลตอบแทนในระดับกว่า 2% พอๆ กันนั้น การตัดสินใจเลือกของเราจะไม่ใช่อยู่ที่กองทุนไหนให้ผลตอบแทนคาดหวังที่สูงที่สุดเพราะมันไม่ต่างกันเท่าไร ไม่ได้ทำให้รวยขึ้นเท่าไร แต่จะเป็น 2 เรื่อง คือ 1. กองทุนไหนปลอดภัยที่สุด และ 2. กองทุนไหนที่ถอนได้สะดวกที่สุด
3. ทบทวนและวางแผนการคุ้มครองตนเองและครอบครัว
ก่อนที่จะลงทุน ขอให้กันเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นการคุ้มครองตนก่อน เพราะหากเกิดเหตุใดๆ ขึ้นเราจะไม่เดือดร้อน และอย่าลืมว่าเหตุมักเกิดเมื่อเราเลิกทำประกัน
การทำประกันที่จำเป็น
-ประกันการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย
เมื่อเรายังมีภาระผ่อนบ้าน เราก็มีความเสี่ยงแล้ว เพราะหากเราผู้ทำรายได้ให้ครอบครัวเกิดเป็นอะไรไป แล้วคนข้างหลังไม่มีปัญญาผ่อนต่อ บ้านก็จะถูกยึด ครอบครัวจะไม่มีที่อยู่อาศัย ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าสลดใจที่สุด เราก็ตายตาไม่หลับ ดังนั้นเราต้องทำประกันเรื่องนี้ไว้ ซึ่งสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้มักจะมีให้ แต่ขอให้เราใช้เวลาเปรียบเทียบกับข้อเสนอของบริษัทประกันที่มั่นคงที่อื่นด้วย เพราะสถาบันการเงินที่เรากู้อาจไม่ได้ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดแก่เราก็ได้ โดยเราจะเลือกทำประกันกับบริษัทประกันที่มั่นคงสูง และมีค่าใช้จ่ายรวมต่ำที่สุดในเงื่อนไขวงเงินประกันเท่าๆ กัน
-ประกันที่อยู่อาศัยจากอัคคีภัย ภัยธรรมชาติ ภัยจากการก่อการร้ายและวินาศกรรม
เรื่องนี้เราหลายคนคงพบมาทุกเหตุการณ์แล้ว และคงเห็นความสำคัญของการทำประกันภัยเอาไว้ จึงไม่ต้องอธิบายให้มากความ
-ประกันการใช้ยานพาหนะและอุบัติเหตุ
นอกจากจะทำประกันตามที่ พ.ร.บ.บังคับแล้ว ขอให้พิจารณาทำประกันชั้นหนึ่งหากเป็นไปได้ เพราะถ้าไม่มี เราจะมีรายจ่ายเพิ่มเมื่อเกิดเหตุ อันอาจจะเป็นหลักหลายแสน หรือเป็นล้าน ซึ่งอาจทำให้เราต้องไปดึงเงินในส่วนสำรองฉุกเฉินโดยไม่ควร หรือดึงมาจนหมดก็ไม่พอจ่ายก็ได้
หลักในการเลือกบริษัทประกันภัย นอกจากจะเหมือนข้อต้นๆ แล้ว จากประสบการณ์ส่วนตัว ขอแนะนำให้เลือกที่ที่เรามีคนรู้จักสนิทสนมทำงานในบริษัทนั้นๆ ด้วย เพราะมันจะทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้นเมื่อเกิดเหตุ
- ประกันสุขภาพของตนและคนในครอบครัว
แม้ว่าตัวเราเองนั้นอาจจะมีความคุ้มครองจากบริษัทหรือองค์กรที่เราเป็นลูกจ้างอยู่แล้ว แต่เรามักจะละเลยคนในความอุปการะของเรา ซึ่งเขาก็มีเจ็บ มีป่วยได้
เมื่อเจ็บป่วยทีมันก็เป็นเงินไม่น้อยโดยเฉพาะถ้าต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาล ซึ่งจะมีค่านั่นค่านี่ใส่ลงมาในใบแจ้งหนี้โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร และต่อรองก่อนใช้บริการก็ไม่ได้ และในบางกรณีเราพบแพทย์เพียง 10 นาที แต่มีค่าธรรมเนียมแพทย์ ค่าคำปรึกษาแพทย์ในจำนวนไม่น้อยเลย หากหารเป็นค่าใช้จ่ายต่อนาทีแล้วสักวันมันอาจจะสูงกว่าค่าปรึกษานักกฎหมายเก่งๆ ระดับประเทศเลยก็ได้
วิธีเลือกใช้ประกันสุขภาพกับที่ไหนนั้น มี 2 แนวทาง คือ หากบริษัทหรือองค์กรที่เราทำงานนั้นทำกับที่ไหน เราจะรู้ถึงคุณภาพในการให้บริการจากประสบการณ์ของเราและเพื่อนๆ ในที่ทำงานแล้ว หากดี เราก็เลือกได้
อีกวิธีคือ หากเรามีญาติหรือเพื่อนสนิทเป็นแพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรในโรงพยาบาล เขาเหล่านั้นจะให้คำแนะนำได้ดีที่สุดว่าเราควรเลือกที่ไหน เพราะเขามีประสบการณ์ และสามารถแนะนำแพกเกจที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวเราได้ดีกว่าใคร ซึ่งเมื่อเขาเป็นญาติหรือเพื่อนสนิทของเราแล้ว เราน่าจะหมดความกังวลไปได้ว่าเขาจะแนะนำเพื่อประโยชน์ของตนมากกว่าประโยชน์ของเรา
-ประกันชีวิตและอุบัติเหตุ
เรื่องนี้หากเราไม่มีทายาท ไม่มีใครที่เราอยากให้เงิน หรือมี แต่เขาสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ เราก็ไม่ต้องไปทำประกันชีวิตให้เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์แม้ว่าจะนำไปลดหย่อนภาษีได้ ให้ทำแต่ประกันอุบัติเหตุก็พอ
กุญแจสำคัญของการทำประกันชีวิตโดยเฉพาะประเภทที่มีอายุยาวนานนั้น ไม่ใช่ผลตอบแทนที่เขาบอกว่ามากเท่านั้น เท่านี้ เพราะนั่นไม่ใช่หัวใจหลักของการทำประกัน และนอกจากนี้เขามักจะบอกอัตราผลตอบแทนที่มีวิธีคิดคนละแบบกับผลตอบแทนของการฝากเงินหรือการลงทุน ซึ่งหากคำนวณด้วยวิธีเดียวกันแล้วมักจะต่ำกว่าที่แจ้ง
หลักสำคัญในการคัดเลือกบริษัทประกันคือความมั่นคงของบริษัทนั้นๆ เพราะหากบริษัทประกันซวดเซไป ที่สัญญาอะไรๆ กับเราไว้ก็จะทำไม่ได้ เรื่องรองลงมาคือความใส่ใจดูแลเราของตัวแทนจากบริษัทประกัน ต้องไม่ใช่ขายประกันแล้วก็แล้วกันไป ปล่อยให้เราตะเกียกตะกายแก้ปัญหาเองเมื่อเกิดปัญหา
นี่คือประกัน 5 ชนิดที่เห็นว่าจำเป็น ซึ่งแต่ละคนสามารถพิจารณาเลือกทำทั้งหมด หรือบางส่วนให้เหมาะกับความคุ้มครองอันจำเป็นตามที่เราต้องการได้ เพราะบางคนหากจะทำทั้งหมดก็อาจทำไม่ได้ หรือไม่จำเป็นต้องทำในบางอย่าง
และเมื่อเราจัดเรื่องความคุ้มครองปกป้องไปจนครบแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะพิจารณาเรื่องวางแผนการลงทุนกันต่อไป
4. ทบทวนและวางแผนลงทุน
เมื่อเราจัด 3 เรื่องแรกไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะพิจารณาเรื่องวางแผนการลงทุนกัน โดยก่อนจะลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ เราต้องเริ่มทีละขั้นตอน เริ่มจากทำแบบทดสอบความเสี่ยงที่เรารับได้เสียก่อน เราจะได้รู้จักตนเองให้ถ่องแท้ว่าเรารับได้แค่ไหนถึงจะไม่ทุรนทุรายกับความผันผวนในตลาดที่เกิดได้เสมอๆ ซึ่งแบบทดสอบความเสี่ยงนี้ ทุก บลจ.ก็ใช้คำถาม 10 คำถามเหมือนๆ กัน ผลที่ได้จะพอเป็นแนวทางให้เรากำหนดแนวทางลงทุนและสัดส่วนลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ และสำหรับคนที่มีแผนลงทุนอยู่แล้ว ก็ควรจะทบทวนทำแบบสอบถามนี้ปีละครั้ง หรือ 2 ปีครั้ง เพื่อจะได้รู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป 1-2 ปี การยอมรับความเสี่ยงของเราเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า เราควรจะมีแนวทางจัดพอร์ตลงทุนอย่างไรในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อย่างละเท่าไร หากผลที่ได้เมื่อนำไปเทียบกับสัดส่วนพอร์ตในปัจจุบันมีความต่าง เราจะได้ตัดสินใจปรับสมดุลได้ (Rebalance) โดยสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของเรา
5. พิจารณาว่าเราจะบริหารพอร์ตลงทุนเอง หรือให้มืออาชีพบริหาร
ข้อคิดก็คือ มีเวลาเพียงพอไหม มีแรงเหลือไปทำเองไหม มีช่องทางเข้าถึงข่าวสารข้อมูลที่เพียงพอไหม และทำเองเป็นหรือไม่
6. เลิกใฝ่ฝันลมๆ แล้งๆ ว่าจะซื้อในราคาถูกที่สุดแล้วจะขายในราคาแพงที่สุดไปได้แล้ว
แม้ใครๆ ก็บอกให้ซื้อถูกขายแพง แต่ไม่ได้บอกให้หาจุดถูกที่สุดหรือแพงที่สุด เพราะไม่ว่าใครก็หาไม่เจอ และหากทำได้ก็เพราะบังเอิญเท่านั้น สิ่งที่ควรทำสำหรับผู้ลงทุนเองไม่ผ่านกองทุนก็คือ แสวงหาการลงทุนที่ตนถนัด เช่น ถ้าจะหาหุ้นมาลงทุน ก็เลิกไปวิ่งตามใคร แต่ให้ดูว่าที่เศรษฐกิจจะเติบโตไปในทิศทางไหนนั้น หุ้นตัวไหนจะได้ประโยชน์ แล้วก็กำหนดราคาที่ซื้อได้ กับราคาขายที่พอใจไว้เลย เรื่องอย่างนี้ เดี๋ยวนี้แมลงเม่าปีกเพชรบ้านเราเข้าใจดี และต้องเลิกมุ่งคิดที่จะเอาชนะตลาดไปได้เลย เพราะผู้ลงทุนส่วนมากไม่ชนะตลาด แต่ตลาดนั่นแหละที่จะชนะผู้ลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่มีความรู้ ความชำนาญ หรือไม่มีเวลามากพอ
ส่วนผู้ลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นให้ไปพิจารณาที่แนวคิด ที่ Investment Theme ที่สไตล์การลงทุนของ บลจ.ที่สนใจ หากพบว่าใช่ก็ใส่เงินเข้าไปในกองทุนที่มีนโยบายเหมาะสมกับเงินลงทุนแต่ละก้อนที่มีเป้าหมายลงทุนต่างกันได้เลย และจะให้ดีก็ต้องลงทุนเพิ่มเติมทุกเดือนโดยสม่ำเสมอ
7. คำนวณเงินที่ต้องมีใช้ในวัยเกษียณ
น่าแปลกที่หลายคนกลัวว่าจะไม่มีเงินพอใช้ในวัยเกษียณ แต่หากถามกลับไปว่า ณ วันนี้มีเงินสะสมไว้เท่าไร หลายคนตอบไม่ได้ และที่แย่กว่านั้นคือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเท่าไหร่ถึงจะพอ ที่แย่ที่สุดคือส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดบอกว่าไม่เคยมีแผนการเงินเลย มันสำคัญมากที่เราจะต้องรู้ และมีแผนที่จะทำให้ถึงเป้าหมายนั้นมารองรับ
8. สำรวจบัญชีทรัพย์สิน
นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องทำบัญชีทรัพย์สินไว้ว่ามีอะไรบ้าง ทั้งบ้าน ที่ดิน เครื่องเพชรพลอย รูปภาพ การลงทุนต่างๆ เงินฝาก หนี้สิน เงินฝาก กรมธรรม์ประกันต่างๆ ฯลฯ
สิ่งสำคัญที่ทุกคนมักละเลยคือ มีทุกอย่างที่กล่าวถึง แต่ไม่ได้จดไว้ว่าหมายเลขบัญชีเป็นเท่าไร อยู่ที่ไหนบ้าง หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะต้องติดต่อใคร เบอร์โทรศัพท์อะไร เรื่องพวกนี้เราต้องทำไว้ และสำเนาให้คนที่ไว้ใจได้สักชุดสองชุด
9. พินัยกรรม
หากรักและห่วงใยคนข้างหลังจงทำพินัยกรรมให้เรียบร้อย และคอยอัปเดตปีละครั้ง อย่าปล่อยให้การจากไปของเราก่อให้เกิดเหตุน่าเศร้าเสียใจที่คนที่เรารักไม่ได้รับการส่งผ่านความมั่งคั่งจากเราไปอย่างที่เราอยากจะให้เป็น
10. แบ่งปันความมั่งคั่งให้ผู้ด้อยกว่า
เมื่อเราพอไหว ให้รู้จักการแบ่งปันส่วนน้อยของเราให้ผู้ด้อยโอกาสที่เราไม่จำเป็นต้องรู้จักบ้าง สังคมจะน่าอยู่ขึ้น หากเรารู้จักการเสียสละ เงินไม่กี่ร้อยที่เราให้เขา มีค่าต่อเขายิ่งกว่าเงินหลายพันที่เราใส่ซองให้คู่สมรสในงานแต่งงานที่หรูหราค่ะ